12 เมษายน 2568
เพื่อให้โครงการดำเนินไปต่อถึงอาสาวิชาการรุ่นถัดไปได้ จึงขออนุญาตไปต่อสำหรับโครงการ Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 3
นี่คือประโยคสำคัญที่ประธานกลุ่มกิจกรรมอาสาวิชาการ ปีการศึกษา 2567 ส่งไปในกลุ่มไลน์สมาชิกอาสาวิชาการซึ่งขณะนั้นยังมีเพียงสมาชิกเดิมที่สมัครใจอยู่ต่อ จำนวน 17 คน เหตุที่ต้องประกาศเช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อวางแผนประจำปี (Year Plan) แล้ว ไม่มีสมาชิกท่านใดเสนอให้มีค่าย Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 3 เลย
อย่างไรก็ตามมาทราบภายหลังว่าเป็นเพราะทุกคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้วต่างหาก
SPMC ครั้งที่ 3 ควรมีหน้าตาอย่างไร
Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 3 ควรออกมารูปแบบใดเริ่มต้นจากการพิจารณา 2 ครั้งที่ผ่านมา การย้อนมองบทเรียนจากอดีตเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดและอาสาวิชาการในปีการศึกษา 2567 ก็เลือกทำเช่นนี้
ทบทวนแนวคิดของโครงการแต่ละครั้ง
SPMC1 เยาวชนนำเสนอนโยบายต่อหน้าพรรคการเมือง
SPMC2 เยาวชนนำเสนอนโยบายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
SPMC3 เยาวชน....
ค่ายครั้งที่ 3 คิดว่าเราควรมีวาระมุ่งเน้น (Core Agenda) ที่มากขึ้นจึงนำไปสู่การกำหนด 5 วาระมุ่งเน้นของค่าย ได้แก่ การศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาวะ สวัสดิการ สิ่งแวดล้อม
การศึกษา - ประเด็นใกล้ตัวเยาวชนมากที่สุดที่จะขาดไปไม่ได้
เศรษฐกิจ - ท่ามกลางบรรยากาศการเลือกตั้งในขณะนั้น ปัญหาปากท้องของประชาชนกำลังเป็นที่กล่าวถึง
สุขภาวะ - ประเด็นทางสังคมแห่งยุคสมัยและยังคงเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงต่อไป
สวัสดิการ - ท่ามกลางการพูดถึงสวัสดิการทางสังคมหรือรัฐสวัสดิการมากขึ้นโดยเยาวชน โครงการของเราจึงให้ความสำคัญ
สิ่งแวดล้อม - ตั้งแต่โลกร้อนถึงโลกเดือด นี่คือสิ่งที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ
ไม่เพียงเท่านี้ ฝ่ายวิชาการยังคิดธีมเพิ่มเติมมาภายหลังอีกว่านโยบายสาธารณะที่ทันสมัยและยั่งยืน
ทั้งหมดนี้จึงสรุปเป็นแนวคิดได้ว่า
Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 3 คือ ค่ายทดลองออกแบบนโยบายสาธารณะที่ทันสมัยแล้วยั่งยืน ผ่าน 5 วาระหลักทางสังคม ได้แก่ การศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาวะ สวัสดิการ สิ่งแวดล้อม
ออกแบบนโยบาย แล้วไงต่อ
เป็นคำถามของฝ่ายอำนวยการโครงการเองและคาดว่าคงเป็นคำถามของผู้มีความสามารถที่จะให้ทุนสนับสนุนหลายท่านที่ปฏิเสธการขอรับการสนับสนุนเงินจัดโครงการของเราด้วย เพราะ หากเยาวชนเข้าค่ายนี้แล้วสิ่งที่ได้กลับไปเป็นเพียงความสามารถในการออกแบบนโยบายสาธารณะ ผลผลิตเพียงเท่านี้เรามองว่ายังไม่มากพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมด้วยพลังของเยาวชนได้อย่างทันที จึงเป็นที่มาของการออกแบบโครงการแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ (Result-Based Management : RBM) โดยได้รับการให้ความอนุเคราะห์ในการให้คำปรึกษาจากอาจารย์ชาย ไชยชิต อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
activities output outcome impact มีศัพท์เทคนิคเต็มไปหมด แต่จะขอเล่าอย่างง่ายว่า หลังจากปรึกษากับอาจารย์แล้วเราได้ข้อสรุปกันคือ ไม่ใช่เพียงออกแบบนโยบายสาธารณะแต่เยาวชนต้องเข้าใจกระบวนการนโยบายสาธารณะ เข้าใจวาระทางสังคม และรู้ได้ว่าแม้จะเป็นเยาวชนแต่ช่องทางออนไลน์ ช่องทางระดับชาติ ช่องทางท้องถิ่น เยาวชนยังมีลู่ทางในการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะได้มากมาย และนี่คือวิสัยทัศน์ของโครงการครั้งที่ 3
เยาวชนตื่นรู้และสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะได้ทุกระดับอย่างต่อเนื่อง
สนับสนุนโดยมูลนิธิ ฮันซ์ ไซเดล
สวัสดีค่ะ มีผู้สนับสนุนแล้วยังคะ
หลังจากที่โดนหลายองค์กรปฏิเสธการสนับสนุนมูลนิธิแห่งนี้จะเป็นเหมือนกันไหมนะ เป็นคำถามที่อยู่ในใจของฝ่ายอำนวยการแต่แล้วกลับต่างออกไป เพราะ มูลนิธิฮันซ์ ไซเดล ยินดีที่จะให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนใหญ่ตามแผนความต้องการงบประมาณของโครงการ
ค่าอาหารหลัก ค่าอาหารว่าง ค่าที่พัก ค่าสถานที่ ค่าวิทยากร เหล่านี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งนี้ทั้งสิ้น นำมาซึ่งความหวังและความภาคภูมิใจของคณะทำงานโครงการ Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 3 ในการขับเคลื่อนโครงการต่อไป
คณะทำงานได้นำงบประมาณที่ได้รับในครั้งนี้ไปจัดสรรในส่วนต่าง ๆ เช่น อาหารมื้อหลัก 3 มื้อต่อวัน อาหารว่าง 2 มื้อต่อวัน สถานที่พัก TU DOME 3 คืน และค่าวิทยากรที่จะมาให้ความรู้เรื่องนโยบายสาธารณะ ให้ความรู้ 5 วาระทางสังคมหลักของค่าย และ Commentator ผู้ตัดสินข้อเสนอนโยบายสาธารณะและให้ข้อเสนอเพื่อต่อยอดความคิดของผู้เข้าร่วม
จาก "ผู้ไม่รู้" สู่ "ผู้ขับเคลื่อนหลัก"
ฝ่ายวิชาการในฐานะผู้ดำเนินกิจกรรมหลัก 4 วัน 3 คืนของโครงการออกแบบนโยบายสาธารณะนี้มีความกังวลในช่วงเริ่มก่อร่างสร้างค่ายว่าฝ่ายของตนจะไม่มีความเข้าใจในนโยบายสาธารณะมากพอจึงต้องการอาจารย์เข้ามาให้ความรู้กับฝ่าย
แต่ฝ่ายอำนวยการไม่คิดเช่นนั้นอยากได้ความรู้ระดับพอประมาณฉบับนำไปใช้ทำกิจกรรมต่อได้เลยสามารถใช้คนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีความเข้าใจเข้ามาช่วยอบรมเชิงปฏิบัติการได้ไหม นำไปสู่การเชิญอดีตสมาชิกฝ่ายวิชาการของโครงการ Singhadang Policy Maker Camp ครั้งที่ 2 คุณติวเตอร์-พัทธดนย์ จันทร์ฝาง และคุณเอ๋-อพิชญา วิทยกุล กลับมาพบกันอีกครั้งและจัดเป็นอบรมเชิงปฏิบัติการไม่เพียงแต่ฝ่ายวิชาการ แต่จัดให้กับคณะทำงาน (Staff) ทั้งหมดของโครงการในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการอบรมคณะทำงานที่คึกคักและได้รับความรู้อย่างครบถ้วน
เมื่อฝ่ายวิชาการของโครงการครั้งที่ 3 มีความแกร่งกล้าในวิชามากขึ้นตามลำดับ ฝ่ายวิชาการอยากพาผู้เข้าร่วมโครงการทำอะไรและให้ผู้เข้าร่วมสร้างสรรค์อะไร อาจกล่าวสรุปได้ ดังนี้
อธิบายกระบวนการโยบายสาธารณะเบื้องต้นให้กับผู้เข้าร่วม : นอกจากอาจารย์ที่เข้ามาให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมแล้ว ฝ่ายวิชาการเองก็มีการให้ความรู้กับผู้เข้าร่วมเช่นกันในคนละแง่มุมอาจารย์ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อธิบายให้เข้าใจว่านโยบายสาธาณะใกล้ตัวเยาวชนมากแค่ไหนและมีการเมืองในนโยบายอย่างไร ฝ่ายวิชาการอธิบายให้เข้าใจว่าขั้นตอนการระบุปัญหาเพื่อทำนโยบายสาธารณะและการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนทำอย่างไร ในขณะที่อาจารย์อจิรภาส์ เพียรขุนทด อธิบายให้เข้าใจว่าจากแนวคิดที่จะผลักดันวาระทางสังคมหนึ่งเป็นนโยบายต้องผ่านกระบวนการและขวากหนามใดบ้าง
จับมือทำนโยบาย : บรรยายมากไปก็ใช่ว่าจะดี การลงมือทำไปด้วยกันจึงเป็นกิจกรรมถัดจากนั้น ฝ่ายวิชาการได้จูงมือผู้เข้าร่วมทุกคนเดินไปพร้อมกัน ๆ สู่จุดหมาย คือ สามารถระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้อย่างชัดเจน สามารถออกแบบนโยบายสาธารณะมาตอบโจทย์ปัญหานี้และมีเป้าหมายสุดท้ายที่ต้องการอย่างชัดเจน
Soft Pitching : การนำเสนอแนวคิดของผู้ออกแบบนโยบายสาธารณะไม่ว่าจะในเวทีนี้ หรือเวทีจริงระดับชาติระดับท้องถิ่นในอนาคตที่ผลผลิตของโครงการเรากำลังจะเข้าไปมีส่วนร่วม ทักษะการนำเสนอจึงมีความสำคัญ และฝ่ายวิชาการได้เตรียมการฝึกซ้อมการนำเสนอไว้ให้ถึง 2 ครั้งเพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำเสนอข้อเสนอนโยบายของกลุ่มออกมาได้อย่างดีที่สุดในวัน Pitching Day ซึ่งตรงกับวันที่ 3 ของการจัดโครงการ
ลุ้นระทึกแผ่นดินไหว
ขณะที่โครงการดำเนินไปตามปกติในวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 14:30 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นในบริเวณสถานที่จัดกิจกรรม ทุกคนต่างหลบอยู่ใต้โต๊ะแต่เพียงชั่วขณะเราตัดสินใจอพยพลงจากอาคารด้วยความรวดเร็ว ทุกคนต่างเช็คข่าวสารว่ามันคือแผ่นดินไหวจริง ๆ หรือไม่
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวไม่มีกิจกรรมใด ๆ เกิดขึ้น ทุกคนยังคงนั่งอยู่บริเวณสนามราษฎรซึ่งเป็นพื้นที่หลบภัยแผ่นดินไหว สตาฟมีการหารือกันเป็นระยะ ๆ และส่วนหนึ่งตัดสินใจขึ้นกลับไปในอาคารเพื่อนำสิ่งของจำเป็นบางอย่างของทุกคนลงมา นี่เป็นงานที่เสี่ยงมาก และถัดมาฝ่ายวิชาการซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมหลักตัดสินใจที่จะดำเนินกิจกรรมต่อไปในบริเวณพื้นที่หลบภัยโดยมีการหารือกับผู้เข้าร่วมซึ่งมีทั้งผู้เข้าร่วมที่ยินดีร่วมกิจกรรมต่อกับผูเข้าร่วมที่ขอยุติการเข้าร่วมกิจกรรมก่อนซึ่งคณะทำงานมีความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนดำเนินกิจกรรม มีการซ้อมหนี After Shock 1 ครั้ง
"ซ้อมอาฟเตอร์ช็อก"
"ซ้อมอาฟเตอร์ช็อก"
"ซ้อมอาฟเตอร์ช็อก"
ทุกคนวิ่งไปยังกลางสนามราษฎรและเข้าแถวแยกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของน้องค่ายและแยกสตาฟฝ่ายต่าง ๆ
เมื่อซ้อมอาฟเตอร์ช็อกเสร็จแล้วกิจกรรมจับมือทำนโยบายจึงถูกดำเนินไปอย่างเต็มความสามารถภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม ความกังวลถัดมา คือ ที่พักจะเป็นอย่างไร, อาคารเรียน SC3 ซึ่งเป็นสถานที่่จัดกิจกรรมหลักของเราจะใช้ในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่ เราต่างวิ่งวุ่หาสถานที่จัดกิจกรรมสำรอง แต่ในช่วงเวลาใกล้ค่ำของวันดังกล่าวเราได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่อาคารว่าสถายที่สามารถใช้ได้ตามปกติ สถานที่จัดกิจกรรมและที่พักจึงเป็นไปตามเดิมได้ในวันถัดมา