บริษัท MFEC
บริษัท MFEC
มีน ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ วิชาโท วิชาจิตวิทยา
บริษัท MFEC เป็นบริษัทเกี่ยวกับด้านไอทีที่ตั้งอยู่แถวจตุจักร หลาย ๆ คนอาจจะไม่ค่อยรู้จักบริษัทนี้ เพราะส่วนใหญ่ MFEC เป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังของหลาย ๆ บริษัทที่มีกิจการหลายด้าน รวมถึงมีบริษัทลูก ด้วย คนส่วนมากเลยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหู แต่ถ้าเข้าไปดูจริง ๆ จะเห็นว่าหลายบริษัทก็เป็นลูกค้าของเขา เช่น Google หรือธนาคารต่าง ๆ เขาจะทำงานเบื้องหลังมากกว่า อย่างพวก set up ระบบเกี่ยวกับไอที
ทำตำแหน่ง HR เหมือนที่ MFEC จะเรียก HR ว่าอยู่ใน People Excellence ก็จะแบ่ง HR เยอะ มี HRD พวก Development and Learning คือเหมือนพัฒนาสกิลของพนักงานหรือคนในองค์กร แล้วก็จะมี Talent Acquisition หรือง่าย ๆ ก็คือ recruiter หรือว่าเป็นคนที่แบบจัดหาบุคคล แล้วก็จะมีในตำแหน่งอื่น อีก อย่าง Benefit ที่ดูแลสวัสดิการของพนักงาน อันนี้พี่ก็จะอยู่ในตำแหน่งของ TA หรือ Talent Acquisition ซึ่งก็จะเกี่ยวกับการสรรหาบุคคล
ตอนแรก ๆ พี่ไม่รู้จักเลยแต่เหมือนเราโฟกัสว่าอยากไปบริษัทไอทีเพราะว่าเราก็สนใจในด้านไอทีแล้วเราก็รู้สึกว่าไอทีก็อยู่ในชีวิตประจำวันตลอดเวลาถึงแม้ว่าเราจะไปฝึกในตำแหน่งที่มันไม่ใช่ไอทีแต่เรารู้สึกว่าการที่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นมันก็สามารถทำให้เราซึมซับไอทีหรือเหมือนได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา แล้วก็ที่สมัครไปที่ MFEC เพราะว่าเราลอง research ดูเวลาเราจะไปสมัครเราก็ดูว่า vibe ของบริษัทว่าเป็นยังไง ดูแบบแรก ๆ เลยคือโหลด Tiktok มาเลยแล้วก็ดูใน Facebook เหมือนเราไปเสิร์ชว่า MFEC Internship เพราะ
เราจะดูว่าเขารีวิวว่าอินเทิร์นที่นี่เป็นยังไงบ้างผลปรากฏว่าเรารู้สึกว่า Feedback มันดี คนอื่น ๆ ที่ไปฝึกที่นี่มันดีจาก Facebook เขาก็จะมีบรรยากาศให้แล้วเขาก็จะลงใน Tiktok ด้วยพี่ก็เลยไปโหลดมาดูเราก็รู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับคนที่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ หรือชอบอะไรท้าทายเหมือนเขาให้โอกาสเรา แล้วก็มีกิจกรรมให้เล่นในออฟฟิศด้วยเราก็เลยชอบ นอกจากนี้ที่เราไปดูใน YouTube ว่าเป็นยังไง เพราะเราก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน พอเราไปเห็น YouTube ของบริษัทว่าแชร์เกี่ยวกับด้านไอทีแล้วก็มีกิจกรรมในบริษัทแล้วพี่ก็ไปดูบทสัมภาษณ์ของผู้บริหาร พอฟังแล้วเราก็รู้สึกชอบความคิดของเขาที่ค่อนข้างเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และให้ความสำคัญกับพนักงานทั้งสกิลแล้วก็สิ่งแวดล้อม พี่ก็เลยแบบลองดูบริษัทนี้ ตอนนั้นพี่ก็ไม่รู้จะติดมั้ย แต่รู้สึกว่าชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้
ที่พี่เห็นโพสรับสมัครอินเทิร์นของ MFEC ที่แรกคือใน Facebook เราก็ส่งเมลไปเลยว่าเรามีความประสงค์จะฝึกงานตำแหน่งนี้ ตั้งแต่วันที่นี้ถึงวันที่นี้พร้อมแนบ resume กับ transcript ของเราไปด้วย ทีนี้ เขาตอบกลับมาเลยว่าโอเค ขั้นตอนของบริษัทนี้เป็นยังไง ลำดับที่หนึ่งเดี๋ยวจะมี TA ติดต่อมาเพื่อ pre screen เบื้องต้น ของเราต้องรอระยะเวลาเท่าไร เขาก็จะบอกมาเลยว่าในระยะเวลาเท่าไรถึงจะบอกผลเพราะมันมีขั้นตอน ตอนแรกก็คือเขาจะมี pre screen เราก่อน ถ้าขั้นตอนที่สองเราผ่านอันแรก เขาก็จะบอกเราว่าผ่านนะ เขาก็จะนัดสัมภาษณ์กับพี่ hiring manager หรือพี่ในทีมนั้นอันนี้คือขั้นตอนที่สองแล้วก็บางตำแหน่ง อาจจะมี test ให้ลองทำเช่นกราฟฟิกก็จะมี test ของเขาแต่ของพี่ talent acquisition เขาจะมี pre screen อย่างที่สองก็ไปพูดคุยกับพี่ ๆ ในทีมเขาแล้วก็สาม ถ้าผ่านสองอันนี้ก็ไปพูดคุยกับพี่ hiring manager หรือพี่หัวทีม ของพี่ก็มี test ด้วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็บอกเลยว่าผ่านหรือไม่ผ่านจากนั้นเขาก็หลังจากนั้นเขา จะแจ้งผลเราแล้วยืนยันว่าเราจะฝึกที่นี่นะ เขาก็จะส่งอีเมล offer มาให้ค่ะ
ตรงนี้เหมือนผ่านขั้นตอนแรก คือ prescreen ขั้นตอนที่สอง เขาก็จะมีให้เราทำ English test, Logical test, Personality test เพื่อจะดูว่าเรา fit in กับองค์กรหรือว่าในทีมเขาไหม เหมือนเป็นคะแนนเอาไว้เพื่อพิจารณา แต่ว่านอกจากคะแนนพวกที่เขาให้ทำ test ก็เป็นคะแนนที่เขาให้มาพูดคุยนี่แหละ ว่าเป็นยังไง
ถ้าเป็น Hard skill ในการทํา Talent Acquisition พี่มองว่าเป็นเรื่องของการทำ Microsoft พวก Excel โปรแกรมพื้นฐาน แล้วก็ canva เพราะบางทีเรามี job posting ไปโพสต์ ส่วน Soft skill ซึ่งหลัก ๆ งาน ของ TA จะใช้ Soft skill มากกว่า เวลาเราพูดกับ candidate เราต้องใช้ทักษะการพูดเป็นส่วนใหญ่ การโน้ม น้าว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางคนโทรมาอาจจะพูดจาไม่ดี เราจะแก้ปัญหาอย่างไร พี่รู้สึกว่า Soft skill ได้ใช้เยอะมากแต่ Hard skill เองก็สำคัญเหมือนกัน ต้องควบคู่กันไป แต่ด้วยความ HR ที่ต้องทำงานกับคน ก็เลยได้ใช้ Soft skill เป็นหลัก
Resume มีผลงานไหนที่ใส่ไปแล้วจึ้งสุด ใส่ไปแล้วเขาต้องรับเราแน่ ๆ
เราเคยทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องกับงาน พี่ก็ใส่ไปใน resume แล้วก็ present ไปเขาก็จะถามเราว่า ตรงนี้เรามีหน้าที่อะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง แล้วมีทักษะอะไรที่เราได้ใช้จริง ๆ แล้วใน resume เราเขียนอะไรไป เขาก็ถามเกี่ยวกับอันนี้แหละ เพื่อที่จะดูว่าเราได้ทำจริง ๆ ไหมอหรือได้ตกตะกอนอะไรไหม แล้วก่อนหน้านี้พี่ก็เคยทำพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านเครื่องเขียนเขาก็จะถามว่าเราทำหน้าที่อะไรแล้วชอบอะไรบ้างหรือทำอะไรไปแล้วรู้สึกอยากแก้ไข ส่วนมากเขาก็จะถามเกี่ยวกับที่เราเขียนแต่ว่าเขาจะดูทัศนคติมากกว่า
พวกค่าใช้จ่ายจะหมดไปกับค่าเดินทางแล้วก็พวกค่ากิน เพราะที่พี่ฝึกมันจะเข้าแบบ hybrid วีคหนึ่งก็จะเข้าออฟฟิศประมาณ 2-3 วัน พี่ก็เลยอยู่หอในเหมือนเดิมไม่ได้ต้องย้ายไปอยู่แถวนั้น แล้วก็ค่าใช้จ่ายต่อวัน ถ้าไปออฟฟิศก็จะตกวันละประมาณ 200 ขึ้น จริง ๆ รถเมล์ก็ไปได้แต่ตอนเช้ารถมันติดพี่ก็เลยใช้เงินแก้ปัญหา ซึ่งไป-กลับรถตู้ก็เกือบ 100 แล้ว ที่เหลือก็ค่ากิน แต่ถ้าวันไหนอยู่หอก็เสียไม่ถึง 100 แต่บริษัทก็เหมือนจะมีค่าสนับสนุนหรือว่าค่าเดินทางให้ต่อเดือน เขาจะคิดเป็นวันขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งไม่เท่ากันแต่ base เลยก็ 150 แต่ถ้าเป็น Talent Acquisition จะได้ 175 บาท จะพูดว่าเป็นเงินเดือนของเด็กฝึกงานก็ได้ คือช่วยค่าเดินทางให้ต่อวัน วันไหนที่เราไม่ไปออฟฟิศก็ได้เหมือนกัน ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าวันเสาร์มีไปช่วยกิจกรรมที่ออฟฟิศก็ได้เหมือนกัน
พี่ขอให้เป็นข้อมูลไว้ก่อนว่าแต่ละบริษัทเขาอาจจะรวมเป็น HR คนเดียว งาน recruit ก็ทำ เงินเดือนก็ทำ บริษัทเล็ก ๆ ก็อาจจะมี HR คนเดียว สองคน หรือทีมเล็ก ๆ ก็ได้ แต่ที่ MFEC เขาก็จะแยกเลยเป็น HRD (Developing and Learning) ตรงนั้นก็จะทำเกี่ยวกับพัฒนาสกิลว่าตอนนี้โลกเราอะไรกำลังดัง ๆ software ที่พึ่งออกใหม่เขาก็จะมาพัฒนาคนในองค์กร แล้วก็มีแรงจูงใจอะไรอย่างนี้ด้วย ไม่ให้พนักงาน burnout หรือเครียด ที่บริษัทก็จะมีให้พนักงานต้องมาเก็บชั่วโมงจอย ๆ เหมือนเราเลือกได้ว่าจะจอยอันไหน พี่ก็เคยไป เหมือนเขามามาชวนว่าไปนั่งไหม ไปนั่งเรียนแบบแรงจูงใจทำกิจกรรม ไม่ต้องเครียดอะไร ซึ่งเรารู้สึกว่าดี อันที่สองคือ Benefit ทุกอย่างเกี่ยวกับสวัสดิการอันนี้พี่ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะพี่ไม่ค่อยได้ทำงานใกล้ชิดกับเขา แต่ที่รู้ ๆ มา ก็ เช่นเวลาบัตรจอดรถสวัสดิการต่าง ๆ ส่วน Talent Acquisition ก็จะคล้าย ๆ กับ recruiter แต่ recruiter ก็ เหมือนจะเลือก ๆ คนมา คัดเลือกคนมาแค่นี้จบ แต่ Talent Acquisition ก็จะรวมไปถึงว่าเราจะทำยังไงถึงจะดึงคนที่มีความสามารถที่ทำงานเก่ง ๆ มาทำงานกับเรา สมมติมีคนเก่งคนหนึ่งเราจะไปดึงเขามายังไง หรือจะทำให้เขาทำงานกับเรานาน ๆ คือเหมือนเพิ่มในส่วนของกลยุทธ์ หรือจะทำในส่วนของ branding ขององค์กร เป็นที่ดึงดูดให้คนอยากมาทำงานกับเรา Talent Acquisition ก็ต้องคิดว่าจะทำ branding ยังไง เหมือน MFEC ก็เป็นบริษัทไอทีที่ดีบริษัทหนึ่ง ที่นักศึกษาฝึกงานมาฝึกกับเขาเยอะ ก็เพราะรีวิวใน tiktok หรือกิจกรรมผ่านองค์กร ก็เลยทำให้เราอยากไป อันนี้ก็เป็น branding
ใช่ พี่เจาะจงไปด้วย แต่ถ้าเราไม่เจาะจงเขาก็จะถามว่าเราสนใจด้านไหน ด้วยความที่มันแยกแล้วก็ทำงานแบบคนละด้าน เราก็จะอยู่ทีมไม่เหมือนกัน ก็ต้องดูว่าเราอยากทำตำแหน่งไหน เกี่ยวกับอะไร
เอาจริง ๆ คือเรียนกับอาจารยเหมียวแล้วอาจารย์เชิญรุ่นพี่มาพูด ซึ่งพี่เขาก็ทำ Talent Acquisition เราก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เหมือนพี่เขาชอบเกี่ยวกับคน แล้วเรียนจิตวิทยาเป็นวิชาโทด้วย เลยอยากทำงานที่มันคลุกคลีอยู่กับคนแต่ว่าก็ได้ใช้ทักษะอื่น ๆ ด้วยก็เลยลองเสิร์ชดูก็รู้แค่ผิวเผินว่าเป็น HR แต่ Talent Acquisition มัน เป็นอะไรที่คุ้นหูเรา เราฟังจากพี่เขาก็รู้สึกอยากลองทำ เราก็เลยลอง Talent Acquisition เป็นอันดับแรกเลย
พี่รู้สึกโชคดีมากที่พี่ ๆ ในทีมเขาให้เราทำแบบเป็น owner งานเองหมดเลยพี่เขาก็ให้เราทำหมดเลย ตั้งแต่ pre-screen, screen resume ของเพื่อน ๆ แต่ละคน แล้วแต่ละคนก็จะดูแลไม่เหมือนกันในทีม พี่ก็จะ ดูของนักศึกษาฝึกงานเป็นหลัก ก็จะดูตั้งแต่ resume หรือ CV ที่เขาส่งมาตอนแรก เราต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้มี ตำแหน่งไหนบ้างที่เราต้องการ ด้วยความที่ MFEC เขาเปิดรับตลอดทั้งปีแต่ละช่วงก็จะมีตำแหน่งไม่เหมือนกัน พี่ก็จะต้องรู้ก่อนว่ามีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วอยู่ทีมไหน ต้องการสกิลอะไร เราต้องรู้วัฒนธรรมของแต่ละทีม ก่อนว่าเขาต้องการคนยังไง แล้วเวลา screen resume เราก็ต้องลิสว่าเราจะถามอะไรคนนี้ เราก็โทรไป pre screen จริง ๆ ถามเกี่ยวกับเบื้องต้นว่าสนใจตำแหน่งอะไร ฝึกงานตั้งแต่ช่วงไหน สามารถทำออนไซต์ได้ไหมถ้า เป็น 100 % หรือถ้าทีมนั้นเป็น Hybrid เราก็ต้องแจ้งเขาแล้วก็ให้เขาเล่าว่าที่ผ่านมาเคยทำอะไรบ้าง ว่าในงานนี้ เราทำอะไร มีหน้าที่อะไร ใช้ทักษะอะไร ทำไมเราถึงสนใจตำแหน่งนี้ แล้วเราก็ส่งไปให้พี่เขาดูว่าคนนี้โอเคไหม ถ้าโอเคเราก็ต้องนัดสัมภาษณ์ เราก็ต้องโทรถามว่าว่างวันไหน ต้องเมลไปหาทั้งพี่เขาแล้วก็ candidate แล้วก็ตอนสัมภาษณ์นี่แหละที่เราก็ต้องให้เขา test สรุปคือ มีส่วนในการร่วมกระบวนการ recruit คนทั้งกระบวนการเลย
มี แต่ละคนจะมีพี่เลี้ยง 1 คนจากฝ่ายเดียวกัน
รู้สึกค่อนข้างเปิดกว้างให้แสดงความคิดเห็นเหมาะกับคนรุ่นใหม่ คนที่ไฟแรงอยากจะท้าทายก็ลองได้ แล้วก็ทำงานจริงจัง แต่เล่นก็เล่น มีโต๊ะพลู บอร์ดเกมให้เล่น แต่ตอนทำงานก็ต้องโฟกัส แล้วก็มีคาเฟ่ในชั้นให้ ซื้อไม่ต้องเดินไปข้างนอกด้วย
จริง ๆ พี่รู้สึกว่าในคณะจะเป็น soft skill ซะส่วนใหญ่ที่เอาไปปรับใช้ได้ ด้วยความที่เป็นเอกชนด้วย พี่รู้สึกว่า soft skill ในเรื่องของการพูดสำคัญ ด้วยความที่คณะเรามีทั้ง ดีเบต มีพรีเซ้นท์เยอะ โดยเฉพาะ PA พี่รู้สึกว่าตรงนี้ก็ได้เอาไปใช้ได้ แล้วก็ในเรื่องของการตัดสินใจ soft skill ตรงนี้ก็เอาไปใช้ได้หมดเลย แล้วก็มีของ อาจารย์เหมียว เพราะด้วยความที่อาจารย์เหมียวสอน HR ทั้งในภาครัฐและเอกชนเราก็เลยรู้สึกว่าวิชาของอาจารย์เหมียวค่อนข้างเป็นประโยชน์ แต่ว่าหลัก ๆ ในคณะพี่รู้สึกว่ามันเป็น soft skill แล้วก็มีของอาจารย์อัมพรที่สอน excel พี่ก็ยังไม่เคยเรียนวิชาอื่นของเขาแต่เพื่อน ๆ แนะนำว่าอาจารย์สอน excel ในเรื่องอื่น ด้วย พี่รู้สึกว่าตรงนี้สำคัญไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ต้องได้ใช้ โดยเฉพาะ HR ในส่วนของข้อมูล ถ้าเรารู้สูตรวิธีใช้ เราก็จะทำได้เร็วไม่เสียเวลา อันนี้เป็น Hard skill ของตรงนี้ แล้วก็อันอื่น ๆ ถ้า HR พี่รู้สึกว่ามันเป็น soft skill เลยแหละ อย่าง PY พี่ก็รู้สึกว่ามันให้อะไรพี่เยอะมากเลยในการที่เราต้องดีลกับคนนี้ ต้องคิดก่อน ใจเย็น หรือการพูดเราต้องโน้มน้าวยังไง มันก็ปรับใช้ได้ หรือวิชาอื่น ๆ ที่เป็นการสอนเกี่ยวกับโปรแกรม พี่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะการที่เราจะเข้าไปในบริษัทไอทีอันนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์เยอะ
เหมือนที่เคยบอกไป HR ถ้าเป็น Hard skill พี่จะต้องไปฝึกมากกว่าเดิม อย่างการทำตาราง ซึ่งตรงนี้ พี่รู้สึกว่าพี่ต้องไปพัฒนาด้านนี้ให้ชำนาญ แล้วก็เวลาพี่เห็น JD ของบริษัทอื่นเขาก็จะมี excel ทำ PivotTable แล้วก็จะมีที่เป็นสูตรด้วย ถ้าทำได้มันก็จะดีมาก ส่วนอันอื่นที่ต้องไปพัฒนาก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสาร เวลาเราสื่อสารกับคนบางทีเราควรจะพูดตรง ๆ เลย อีกสกิลหนึ่งก็คือเวลาเราฟังเราก็ต้องจับประเด็นว่าเขาอยากได้แบบไหน ต้องการอะไร แล้วก็พวกโปรแกรมพื้นฐาน canva, power point นอกจากนี้ก็จะเป็นโปรแกรมของแต่ละบริษัทที่ใช้มันไม่เหมือนกัน อันนั้นเราก็ต้องไปฝึกเวลาเข้าไปอีกที
พี่ไม่อยากฟันธง แต่มันเข้าข่ายโดยเฉพาะ Soft skill ซึ่ง Hard skill เราสามารถฝึกได้ แต่ Soft skill กว่าเราจะฝึกให้มันเป็นธรรมชาติมันยาก เวลากว่าจะซึมซับ กว่าจะเปลี่ยน Personality มันไม่ง่าย Hard skill เราสามารถไปเรียนได้ใน YouTube ไปฝึกเอา certificate ได้ แต่ Soft skill มันต้องแบบเป็นไปด้วยตัวของมันเอง
เหมือนที่พี่บอกไปก่อนหน้าเลย ในเรื่องของโปรแกรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทเลยว่าเขา ต้องการอะไร ถ้า HR Talent Acquisition บางบริษัทก็จะมีโปรแกรมของเขาเอง แต่พื้นฐานก็มี excel ที่พี่รู้สึกว่าควรจะไปเรียนรู้ ใช้ให้เป็น นอกจากนี้ก็มี soft skill คือฝึกพูด พูดหน้ากระจกก็ได้ หรือเวลาไปสัมภาษณ์ ก็ต้องไปฝึกการเตรียมตัวก็สำคัญ เพราะการที่เรารู้ว่าเราจะไปทำอะไร เพื่ออะไร อันนี้พี่ก็รู้สึกว่ามันสำคัญเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าแบบเวลาเขาถามแล้วเรามานั่งคิด
พี่ก็ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรม พี่ว่าทำหรือเรียนในสิ่งที่ชอบไปเลยก็จะดีกว่า อย่างพี่อยากจะรู้เกี่ยวกับ HR ก็จะรู้ว่า HR เขาใช้อะไร เราก็ลองไปใช้ จิตวิทยาที่พี่เรียนก็เพราะอยากเข้าใจตัวเอง พี่ก็ไปลองว่าเป็นยังไง หรืออยากเข้าใจคนในครอบครัวก็ไปลองสังเกตเวลาคนรอบข้างเขาแสดงพฤติกรรมมา ทำไมเขาทำอย่างนี้ ก็เลยนำไปสู่ว่าทำไมพี่ถึงสนใจ HR แต่ถ้าบางคนสนใจด้าน Marketing ก็ลองลิสหรือจัดแจงสกิลหรือวิชาที่เกี่ยวกับด้านนั้นดู หรือถ้าสนใจ business development ก็ลองไปศึกษา start-up หรือกิจกรรมอะไรที่ได้คิดเกี่ยวกับ business เช่นชอบทำ research ชอบวิเคราะห์อันนี้ก็จะเหมาะมากคือเราก็ต้องรู้ว่าเราอยากไปหรือถนัดด้านไหน อยากส่งเสริมด้านไหน เราก็ค่อยเลือกว่าจะไปทำกิจกรรมไหนหรือลงเรียนวิชาไหน บางทีเพื่อนแนะนำก็ไม่เหมือนที่เรารู้ว่าเราอยากได้อะไร พี่รู้สึกว่าถามตัวเองก่อนว่าอยากไปด้านไหนแล้วก็ลุยเลย บางทีก็เห็นเพื่อน ไปเรียนวิชานี้แล้วมีความสุขมากเลย แต่พอเราไปเรียนแล้วมันก็ไม่ใช่ก็เลยอาจจะต้องหาอะไรที่เราอยากทำด้วย
ตอนแรกที่พี่จะเข้าไปใน TA ของอันนี้พี่ก็เข้าไปเรียนก่อนเหมือนใน linkedin มันจะมีคอร์สแบบฟรี 1 เดือน เราก็ลองไปเรียนคอร์สก่อนเลย แบบ HR Foundation ว่าชอบไหม บางทีเราก็ต้องเตรียมตัว อย่างน้อย ๆ รู้ว่าจะไปทำอะไร เวลาสัมภาษณ์เราก็จะได้รู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร HR มีทำไม การที่เรียนรู้ก่อนพี่ว่ามันก็สำคัญมากกว่าที่จะเข้าไปก่อนแล้วเรียนรู้ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราหาข้อมูล เตรียมตัวว่าสิ่งที่เราจะเจอ เป็นยังไง แต่ถ้าไม่เตรียมตัวมันก็ไม่ผิด เข้าไปแล้วปรับตัวเอาก็ได้ คนที่ปรับตัวเร็วก็อาจจะโอเค แต่คนที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัว การเตรียมตัวมาก่อนก็จะช่วยได้มาก
มี certificate ให้ เวลาฝึกงานเสร็จเขาก็จะส่งให้เรา ฝ่ายพี่นี่แหละทำ แต่เขาจะมีฟอร์มให้แล้วเราที่ เป็น TA ไปกรอกชื่อ มหาลัย เข้าฝึกวันที่เท่าไรถึงวันที่เท่าไร แล้วมันก็จะขึ้นเองว่าเป็นเกียรติบัตร
จะเป็นเกี่ยวกับโปรแกรมโดยตรง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นของศิลปศาสตร์ที่สอนเกี่ยวกับโปรแกรมโดยตรงเลย สามารถเก็บเป็นวิชาโทได้ เขาจะสอน excel ทั้งหมด หรือว่าถ้าเป็นในคณะเราก็เป็นของอาจารย์อัมพร ถ้าสาย HR ก็ควรเรียนโท HR หรือจิตวิทยาก็ได้เวลาเราคุยเราจะได้เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม
จริง ๆ ก็ยังสนใจในสาย HR อยู่แต่ Talent Acquisition พี่รู้สึกว่ามันท้าทาย แต่อยากลองด้านอื่น อย่าง HRD development and learning อันนี้พี่ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ เหมือนจัดกิจกรรม จัดอบรมเพื่อพัฒนาคนในองค์กร พี่รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เราอยากลองแต่ก็คิดว่ายังไงเราก็ไปสาย HR นี่แหละ ยังชอบอยู่แต่ไม่ มั่นใจในด้านไหน
ก็คงรู้สึกว่ามันตอบโจทย์กับพี่ที่ชอบคลุกคลีพูดคุยกับคน ก็เลยรู้สึกว่า HR นี่แหละน่าจะตอบโจทย์ ที่สุดเพราะมันไม่ได้คุยกับคนแค่อย่างเดียว บางทีเราอาจต้องมีการคิดวิเคราะห์ด้วยสมมติคนเข้ามา เราอาจจะ ต้องคิดว่าแบบเราควรจะจ้างไหม ข้อดีเขาคืออะไร หรือข้อควรระวังของเขาคืออะไร ควรเสีย cost ไปกับเขา ไหม ตรงนี้พี่คิดว่ามันก็น่าสนุก ท้าทาย แล้วก็รู้สึกว่าพี่ทำในด้านนี้ได้ดีที่สุด ณ ตอนนี้
ลองดูว่าตัวเองชอบว่า HR แต่ละด้านเป็นยังไงถ้าใครสนใจก็ลองไปดูว่าเราชอบใช้สกิลหรือทำงานแบบไหนก็ลุยเลย แล้วต้องรู้ด้วยว่าองค์กรที่จะไปฝึกเป็นยังไง อันนี้ก็เป็นคำแนะนำว่าให้ไปดูว่า culture shock เข้าเป็นยังไงเราชอบไหมอย่างน้อย ๆ ก็รู้คร่าว ๆ ว่าเราจะ fit in ไหมแล้วลองตั้งคำถามว่าเรา ต้องการอะไรไม่ต้องยิ่งใหญ่มากก็ได้ลองดู