บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ในเครือ Thai Beverage
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ในเครือ Thai Beverage
ปิ่น ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ
โครงการช้างจูเนียร์ ของบริษัท Thai Beverage โดยฝึกที่บริษัทลูกชื่อ บริษัท เสริมสุข ทำพวกเอสโคล่า น้ำดื่มคริสตัล พี่ทำฝ่าย HC (Human Capital) เป็น recruiter ในฝ่าย HR
ตั้งแต่แรกอยากฝึกราชการ แต่พอขึ้นปีสาม คิดว่าราชการไม่ใช่ทางของเรา ก็เลยไปสมัครเอกชนหลายที่มีทั้งไลน์แมน ไทยเบฟ บางจาก สุดท้ายได้ฝึกที่ไทยเบฟ แล้วเรามองว่าถ้าเราไปฝึกไทยเบฟเราก็ได้ชื่อบริษัท เพราะเป็นบริษัทใหญ่และได้เงินเดือนด้วย ก็เลยเลือกไปฝึกที่ไทยเบฟ
โครงการช้างจูเนียร์ เป็นโครงการที่รับสมัครเด็กฝึกงานโดยเฉพาะ ไม่แน่ใจว่ามีมากี่ปีแล้ว แต่มันเปิดทุกปีเลย ทุกปีจะรับประมาณ 50 คน ก็คือไปฝึกงานและไปอยู่ตามภาคส่วนต่าง ๆ ของบริษัท อาจจะไปบริษัทลูกด้วย ไปอยู่ที่ำนักงานใหญ่ด้วย แต่ก็เป็นโครงการที่รับเด็กฝึกงานโดยเฉพาะ ซึ่งเขาจะมีให้เราเลือกเป็น ลำดับกับฝ่าย อย่างเราเลือก HC เพราะเรียน PA มาก็น่าจะไปได้ แล้วมันมีฝ่ายอื่นด้วย แบบวิศวะก็มี มีพวก IT cooperate communicate อะไรแบบนี้ แล้วให้เลือกเป็น 3 อันดับ เราน่าจะเลือก HC เป็นอันดับหนึ่ง แต่พวกตำแหน่งย่อย ๆ แบบ recruit อะไรพวกเนี่ย เค้าก็จะเลือกให้ แต่บางทีก็ดูจากใบสมัคร เรซูเม่ อะไรแบบนี้ด้วย
หลาย ๆ บริษัทย่อยของไทยเบฟ ก็ต้องการเด็กฝึกงานเหมือนกัน แล้วแบบไทยเบฟที่เป็น head quarter เขาก็ไม่ได้ต้องการคน 60 คน เขาก็จะแบ่งตามความเหมาะสม ไม่ได้มีแค่เสริมสุขที่เขาส่งไป ไทยเบฟเป็นบริษัทใหญ่ที่มีบริษัทในเครือเยอะ อย่างแสงโสม เบียร์ช้าง เสริมสุข โออิชิ เอฟแอนด์เอน อะไรเต็มไปหมด ก็คือเขาก็จะส่งไปบริษัทเล็ก ๆ ก็ได้ไป 2 - 3 คน บางคนเขาก็ดูว่าทรงนี้เอาไปอยู่ head quarter ดีกว่า แต่เขาไม่ได้แยกจากความเก่ง สกิล เขาดูจากความเหมาะสมอะไรพวกนี้ บางทีสายวิศวะเขาก็ไม่ได้ส่งไปอยู่ head quarter ส่งไปอยู่ในโรงงานบ้างก็มี เพราะเป็นตำแหน่งที่ขาดเลยต้องเอาคนไปเติม
สาเหตุที่เลือกที่นี่ เพราะผ่านอะไรมาเยอะมาก มีหลายขั้นตอน อย่างแรกก็จะมีฟอร์มให้กรอกในฟอร์มข้อมูลส่วนตัว เช่น ชั้นปีอะไร คณะอะไร สาขาอะไร ชอบฝึกฝ่ายไหน ทำไมอยากทำฝ่ายนี้ แล้วก็ให้แนบเรซูเม่ เขาจะส่งเมลกลับมาว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าเราผ่านก็จะเข้าสู่รอบต่อไป ซึ่งปีพี่ก็จะให้อัดคลิปความยาวไม่เกิน 2 นาที หัวข้อ คือ “ถ้ามีโอกาสฝึกงานโครงการช้างจูเนียร์ อยากฝึกงานในหน่วยงานไหน เพราะอะไร และทำไมทางโครงการถึงต้องเลือกคุณ” หลังจากส่งคลิปไปก็จะมีอีเมลตอบกลับเพื่อนัดวันสัมภาษณ์ เสร็จแล้วจะส่งไปให้คนที่อยากได้เราเป็นเด็กฝึกงานในแผนก เราสัมภาษณ์กับพี่เลี้ยงเรา เขาก็จะถามประมาณว่า เรียนอะไรมา ทำไมถึงอยากฝึก HR คิดว่าต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเราไปฝึกเอกชน ให้พยายามศึกษาบริษัทเขา นิดนึงว่าทำอะไร มี product อะไร หลังจากสัมภาษณ์เสร็จจะโทรมาว่า “ถ้าติดจะมาฝึกจริง ๆ ใช่ไหม จะไม่กันที่เพื่อนใช่มั้ย” แล้วจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่ง รวมทั้งหมดมี 3 ขั้นตอน
เริ่มประกาศรับสมัครนักศึกษาฝึกงาน: น่าจะเริ่มช่วงนี้แล้ว
เขาตอบเมลมาว่าผ่าน ก็ตั้งแต่เดือนธันวาคม
ตอนคอนเฟิร์ม ประมาณมกราคม - กุมภาพันธ์
เรซูเม่ ทำสองเวอร์ชั่น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ส่งไปส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ สมมติจะฝึก HR ก็ใส่อะไรที่สอดคล้องกับ HR ลงไป อยากทำฝ่ายไหนก็ใส่กิจกรรมแนว ๆ นั้นลงไปเยอะ ๆ อยากขายอะไรเกี่ยวกับตัวเองก็ใส่อันนั้นไป ยกตัวอย่างเพื่อนพี่ เขาทำแต่ PR ฝึกงานจะไม่ทำ PR ก็เลยใส่กิจกรรมเกี่ยวกับ PR ไปน้อยที่สุด แล้วไปชูอันอื่นให้เด่นขึ้นแทน แล้วในเรซูเม่ก็จะมีคำเกริ่น คำโปรย
เราก็เจาะจงไปเลยว่า เราถนัดอันนี้นะ อยากสมัครในตำแหน่งนี้นะ
วีดีโอ ไม่ได้กำหนดอะไรมาเลย พี่ก็เลยทำเป็นภาษาอังกฤษ จริง ๆ ก็ไม่ได้เคร่ง แค่ทำให้เป็นตัวเอง พี่ทำเป็นภาษาไทยและใส่ซับเป็นภาษาอังกฤษ
สัมภาษณ์ พี่เลี้ยงจะดู soft skill มากกว่า ดูว่าจะทำงานกันได้มั้ย เนื้องานที่ทำจะไปกันได้หรือเปล่า จริง ๆ ก็แล้วแต่คนสัมภาษณ์ด้วย
เกรด หรือ กิจกรรม อะไรมีผลมากกว่ากันเกรดอาจจะดู แต่ก็ไม่ได้ดูว่าเราได้เยอะแค่ไหน สมมติตั้งไว้ว่าผ่าน 2.75 ถ้าเราผ่านคือจบ เขาก็จะไปดูที่เนื้องานของเรามากกว่า
HC Recruit คืองานที่หาคนมาทำงาน คือ ตำแหน่งในบริษัทก็จะว่างเรื่อย ๆ ยิ่งบริษัทใหญ่ ๆ มันก็จะมีตำแหน่งว่างตลอด งานของเราคือหาคนมาทำงานให้ได้ สกิลที่สำคัญที่สุดคือ การสื่อสาร เพราะเราทำงานคล้าย ๆ คอลเซ็นเตอร์ ทุกวันต้องโทรไปเสนอตำแหน่ง สนใจงานนี้มั้ย เดี๋ยวนี้บริษัทใหญ่ ๆ เวลาหาคนมาทำงานก็จะดูจากพวกใบสมัครหรือเรซูเม่ แต่บางที่ก็ไม่พอ จะหาคนทำงานก็ต้องโทร เปิดหาคนจากเรซูเม่ที่อยู่ในคลังอยู่แล้ว บางทีก็ต้องไปเข้าเว็บหางาน เช่น jobthai และอื่น ๆ สมมติอยากได้พนักงานขาย เราก็เสิร์ชคน ที่ตามหางานขายในเว็บ ดูพวก requirement เกรดเฉลี่ย วุฒิ คนนี้ดูทรงได้ เราก็จะโทรหาเขา สนใจทำตำแหน่งนี้มั้ย หางานอยู่มั้ย ถ้ามีก็จะติดต่อกลับช่องทางที่เขาให้ไว้ อ่านเรซูเม่เสร็จ ต้องโทรหาเขา เสร็จแล้ว ต้องสรุปข้อมูลมาให้พี่เขาว่าประวัติมีอะไรน่าสนใจ เรียกเงินเดือนเท่าไหร่ หลังจาก process นั้นต้องไปสัมภาษณ์ ปกติคนสัมก็จะเป็น manager เจ้านาย แล้วเราก็ต้องเข้าไปอยู่ในนั้น ดูความเรียบร้อย จัด zoom
เป็นคนดำเนินรายการ ทักทายเขา แนะนำว่าสัมภาษณ์กับคนนี้ ถ้าไม่ผ่านก็ปัดตก ถ้าผ่านก็เข้าสู่ขั้นตอนการเซ็นสัญญา เราก็ต้องโทรไปดีลกับเขาว่าเงินเดือนเท่านี้ สวัสดิการประมาณนี้ โอเคมั้ยคะ ถ้าโอเคก็เข้ามาเซ็นสัญญาที่บริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นคนติดต่อ ดังนั้นสกิลที่สำคัญก็เลยเป็นการพูดกับคน จริง ๆ ก็มีงานอย่างอื่น ด้วยที่ต้องทำ เดี๋ยวนี้ช่องทางในการหางานก็มีเยอะขึ้น ได้เอาข้อมูลไปลงเว็บ ลงในเฟสบุ๊ค มีโอกาสได้ทำ Art Work สมัครงาน เคยได้ไปออก Job Expo ก็จะมีคนเข้ามาถามว่ามีงานอะไรว่างบ้างคะ แล้วเราก็ต้องตอบ
ช่วย hard skill พวก excel หรือ word ที่เหลือไปเรียนรู้เอง อย่าง Soft skill ก็จะเป็นพวกการคุยกับคน การวางตัว ก็มีช่วยเยอะอยู่ บางทีงานเวลาลงรายละเอียด รู้สึกว่าถ้าสมมติเราไม่เคยทำงานในสเกลที่ใหญ่กว่างานคณะ เราจะไม่รู้ว่าเราควรทำยังไงต่อ ควรจัดตาราง process ยังไงต่อ ช่วยให้เราได้เห็นภาพรวม ของงานประมาณนึง
ค่าใช้จ่ายในช่วงฝึกงาน
เรามีบ้านในกรุงเทพฯ อยู่อ่อนนุช ก็เลยไม่ได้ไกล bts มาก ของไทยเบฟจะได้ค่าตอบแทนวันละ 353 บาท ตามค่าแรงขั้นต่ำ ถ้าวันไหนไปทำงานก็ได้ ถ้าวันไหนลาป่วยก็ไม่ได้ แต่จ่ายให้รอบเดียวหลังจบฝึกงาน จะได้ประมาณเดือนกันยายน ค่าเดินทางเช้าเย็นประมาณ 100 บาทค่ารถไฟฟ้า ที่ทำงานอยู่กลางห้วยขวาง ไม่มีโรงอาหาร แต่มี food court ข้าง ๆ ก็จะมีห้าง ร้านอาหารข้างทาง ข้าวเริ่มต้น 55 บาท รวม ๆ ใช้วันนึงก็จะประมาณ 200 - 300 บาท ถ้าไม่ได้ฟุ่มเฟือย วันไหนนั่งวินกินเยอะก็มี 350 บาท แล้วตอนที่ไป job expo เขาก็จ่ายค่าที่จอดรถให้ มีข้าวกลางวันเลี้ยง แล้วเงินเดือนก็ได้เท่าเดิม
สำหรับนักศึกษาฝึกงาน เข้างาน 8.30 น. เลิกงาน 17.00 น. แต่เวลาเลิกงานของของพนักงานบริษัท ไม่ได้เป็นแบบนี้ ของไทยเบฟ ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ แต่ของเสริมสุขจะเข้างาน 8 โมง เลิกงาน 6 โมงเย็น เพราะว่า เหมือนเสริมสุขบอกว่าเขาทำงานกับโรงงาน แล้วโรงงานก็ทำงานวันเสาร์ด้วย เพราะว่าพนักงานโรงงานเขา ทำงานเป็นกะ จริง ๆ เมื่อก่อนเสริมสุขก็ทำงานวันเสาร์ เข้า 8 โมง เลิก 5 โมง แต่เหมือนว่าเขาไม่อยากทำงานวันเสาร์กัน เขาก็เลยเอาชั่วโมงของวันเสาร์ครึ่งวันมาทบ ก็เลยเป็นเลิกงาน 6 โมงเย็น แต่ว่าคือพี่ในแผนกเขาก็เข้า 9 โมงแต่ก็เลิก 6 โมงนะ เพราะรู้สึกว่าเข้า 8 โมงคือมาทำไม แต่ว่าสำหรับนักศึกษาโครงการช้างจูเนียร์ เข้างาน 8.30 น. เลิกงาน 17.00 น. บางทีก็มาถึงก่อนพี่เขาอีก เพราะเขามา 9 โมง แต่เราก็ได้เลิกก่อนพี่เขา
สามารถอธิบายได้ด้วย 1 คำคือ “สังคมแบบสาวออฟฟิศ” สำหรับแผนกเรา HC ก็จะนั่งอยู่ด้วยกันเลย จะมีคนอายุตั้งแต่ 20-50 ก็คือมีครบ มันก็มีบ้างเรื่อง age gap รู้สึกว่าคนอายุ 40 จะไม่ค่อยมี จะมีก็ 30 กว่าแล้วก็อัพไปเป็นเกือบ ๆ 50 เลย มีพี่บางคนที่รู้สึกว่าเขาโตกว่าเรามากหรือโตกว่าพี่ในแผนกเยอะมาก แต่ว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกว่าแบบต้องให้เกียรติมากขนาดนั้น เรารู้สึกว่ามันก็น่ารักดี การทำงานก็ไม่ได้กดดันมาก
เรียน PA ก็จริง ได้แตะ HR บ้าง แต่ก็ไม่ได้เรียนโท HR ก็เลยไม่รู้อะไรเลย แบบว่า recruitทำอะไร พี่ ขาทำ internal พี่คนนี้ทำ compensation and benefits เราก็แบบ คืออะไรคะ ไม่รู้แบบไม่รู้เลย แต่บางที เราก็ต้องเรียนรู้บ้าง ช่วงแรก ๆ ก็เหนื่อยหน่อย มีกดดันตัวเองอะไรแบบนี้เพราะเราไม่รู้อะไรเลย เราก็ถามพี่เขาว่าอะไรเป็นอะไร ตอนที่เราไป job expo มันเป็นอาทิตย์แรกที่เราไปทำงานเลย วันพฤหัสไป head quarter เหมือนไปปฐมนิเทศ วันศุกร์เริ่มงานวันแรก แล้วก็อาทิตย์ต่อมาต้องเตรียมไปงาน job expo แล้ว ตอนเราไป job expo ก็จะมีคนเดินเข้ามาถามเราว่า ตำแหน่งนี้คืออะไรคะ เราก็ต้องตอบได้ แต่เรายังไม่มีความรู้ กลับบ้านไปก็ต้องไปท่องโพยว่าอันนี้คืออะไร ช่วงแรก ๆ ก็ต้องถีบตัวเองขึ้นมานิดนึง ไม่รู้อะไรก็ถาม แต่พี่เขาก็น่ารักดี ไม่รู้อะไรก็ถามพี่เขา ตอนมีคนเข้ามาถาม เราก็สะกิดพี่เขาไรงี้
ก็มีเรื่องความรู้เฉพาะทางที่เราไม่มีนี่แหละ จริง ๆ มันเหนื่อยนะ เข้าออฟฟิศทุกวัน เข้างาน 8 โมง เลิก 5 โมง แล้วในกรุงเทพก็รถติด mrt ก็คนเยอะ สำหรับเราสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดคือการเดินทาง นอนเร็วที่สุดในชีวิตมหาลัยคือ 4 ทุ่มก็นอนแล้ว ต้องตื่น 6 โมง บางทีนอน 8 ชั่วโมง แต่ก็รู้สึกว่าไม่พอ อุปสรรคคือการพักผ่อน
สำหรับเราเป็น 2 เดือนที่หนักหน่วงในชีวิตพอสมควร ด้วยความที่เราไม่เคยทำงานมาก่อน อันนี้คือเราไปทำงานในบริษัทจริง ๆ ก็เลยรู้สึกว่า ได้สกิลการทำงาน ได้สกิลการคุยกับคน แต่ที่ได้มากที่สุดคือได้รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไรหรือไม่ชอบอะไร ก่อนหน้านี้คือไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร
อยากไปต่อเอกชน แต่ไม่อยากทำสาย recruit ถ้าถามว่าอยากทำงาน HR มั้ยก็ยังต้องคิดอีกรอบ แต่ไปเอกชน แน่ ๆ
อยากให้เปิดใจ สมมติเราได้ฝึกราชการ แต่เรามี bias มาก ๆ เกี่ยวกับราชการ บางทีมันจะทำให้เราคิดไปเองก่อนแล้ว อยากให้เราเปิดใจก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าเราชอบสิ่งนี้มั้ย ไม่อยากให้เข้าไปด้วยอคติ
แล้วก็มีเรื่องของ “เวลา” รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยพูดถึง เวลาเราไปทำงาน เราต้องมีความเป็นมืออาชีพประมาณนึง ไม่อยากให้ไปทำงานสาย คือบางทีอาจจะไม่ต้องเข้มงวดขนาดนั้น ต้องดูวัฒนธรรมขององค์กรก่อน แต่มันก็เป็นมารยาทพื้นฐาน ก็เลยไม่อยากให้ไปทำงานสายตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงาน เพราะมันเป็น ภาพลักษณ์ของเราเองด้วย แล้วก็คุยกับคนเยอะ ๆ เพราะว่า connection สำคัญ เราอาจจะไม่ต้องอยาก กลับไปทำงานที่นี่ก็ได้ แต่การได้รู้จักคนเพิ่มมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เผื่อเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต