สำนักงานคณะกรรมการ การเลือตั้ง
สำนักงานคณะกรรมการ การเลือตั้ง
อาร์ต ปี 4 คณะรัฐศาสตร์สาขาการเมืองการปกครอง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เราฝึกงานที่กกต. มี 3 เหตุผลหลัก
เหตุผลแรก คือ ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้เลือกตั้งตอนที่เราเริ่มมีการพูดคุยกันเรื่องจะฝึกงานที่ไหนประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ระดับชาติคือการเลือกตั้งสส. ในปี 2566 ที่เกิดขึ้นเดือนพฤษภาคมมีการพูดถึงช่วงนั้นพอดีก็เลยคิดว่าการไปฝึกงานที่กกต. ในช่วงหลังการเลือกตั้งที่การเมืองกำลังคุกรุ่นมันน่าสนใจที่จะไป
เหตุผลที่ 2 ส่วนตัวมองว่าตัวเองไม่สามารถเหมาะกับระบบราชการ แต่แน่นอนว่าเราคิดอย่างนี้เราไม่เคยเอาตัวเองไป เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเราไม่เหมาะจริง ๆ หรือเราคิดไปเอง ก็เลยคิดว่าอยากจะรู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเราเหมาะกับระบบราชการได้ไหมก็เลยตัดสินใจไปฝึกงานที่นี่
แล้วก็เหตุผลที่ 3 อันนี้ไม่สำคัญวงเล็บเป็นเหตุผลส่วนตัวก็คือตัวเองมีแผนอันนึงที่น่าสนใจแล้วก็อยากเสนอให้กกต. ไปผลักดันซึ่งก็อย่างที่รู้ว่ากกต. เป็นระบบราชการไม่สามารถที่จะรับข้อเสนออะไรจากองค์กรภายนอกได้ตามปกตินะก็เลยคิดว่าอยากเข้าไปในองค์กรแล้วก็เสนอสิ่งนี้ให้กับกกต. ดู
สำหรับการเตรียมตัวก็เริ่มตั้งแต่ที่ช่วงขอยื่นชื่อเข้าไปฝึกเลยละกัน ต้องอธิบายก่อนว่าของคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ในการที่จะฝึกงานได้ถ้าพูดแบบหยาบ ๆ มี 2 วิธี
วิธีการที่ 1 มีของคณะประมาณนึงว่าที่กระทรวงนี้ ที่สำนักงานนี้ องค์กรนี้ ใครสนใจจะไปบ้างแล้วก็ให้เขียนชื่อไว้เพราะทางคณะมีโควตาอยู่แล้วใครที่เขียนชื่อไว้ทันเวลาที่กำหนดคณะก็จะเอารายชื่อนี้ไปส่งให้กับทางองค์กรที่จะไปฝึก
วิธีการที่ 2 ให้คนนั้นติดต่อไปที่องค์กรนั้นเองมีหลายองค์กรที่นักศึกษาอยากฝึกงานแต่ไม่มีในโควตาของคณะ เช่น องค์กรเอกชน องค์กรต่างประเทศที่อยู่นอกประเทศก็ต้องยื่นวิธีนี้เอง
ซึ่งสิ่งที่เราส่งไปของกกต. ก็คือวิธีแรก คือ กกต. เป็นโควตาที่คณะได้ลิสต์มาแล้วนักศึกษาคนไหนที่สนใจจะไปฝึกที่กกต. ก็ให้ไปลงชื่อกับทางคณะอันนี้คือในช่วงเริ่มต้น
ส่วนเรื่องเกรดบางทีจะฟิกแต่ของกกต. ไม่ฟิกเอกสารก็ไม่ได้มีอะไรมาก
การเตรียมตัวที่มีก็ตามอ่านข่าวการบ้านการเมืองช่วงนั้นเพราะว่าจะเข้ากกต. ปุ๊บก็ต้องตามข่าวเยอะหน่อยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมืองก็ไม่มีอะไรมาก
คณะเขาจะดึงนักศึกษาในปีนั้นเข้า MS TEAM ที่คณะตั้งขึ้นเป็น MS TEAM เกี่ยวกับการฝึกงานนักศึกษาทั้งชั้นปีเลย เพราะงั้นนักศึกษาที่ไม่เคยติดต่อชั้น 2 ก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่าจะถูก assign เข้าไปใน MS TEAM อยู่แล้วเขาจะมีการแปะรายละเอียดข้อมูลหรือว่าสถานที่ฝึกงานของแต่ละสาขามีที่ไหนให้บ้างถ้าอยากฝึกงานนี้เราสามารถติดต่อประสานงานยังไงได้บ้างอะไรประมาณนี้ก็จะมี MS TEAM เป็นช่องทางการสื่อสารแต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการเปลี่ยนหรือเปล่า
มีแน่นอนสำหรับกกต. ตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะซึ่งอยู่แถว ๆ นนทบุรีค่าใช้จ่ายก็อาจจะมีค่าเดินทางอะไรอย่างนี้อาจจะมีค่าที่พักค่าอาหารของกินของใช้
สำหรับค่าเดินทางขอตั้งต้นอย่างนี้ ปกตินักศึกษาไปฝึกงานคำถามหนึ่งที่แต่ละคนตั้งขึ้นมาก็คือจะพักที่ไหนบางคนก็พักอยู่ที่หอพักที่มหาวิทยาลัยเพื่อประหยัดค่าที่พักแล้วค่อยเดินทางโดยขนส่งสาธารณะไปที่ที่เราฝึกงานเองบางคนก็ตัดสินใจที่จะไปเช่าหอพักแถวที่ฝึกงานเองเพื่อจะได้เดินทางใกล้ ๆ
เราเลือกช้อยส์ที่ว่าเดินทางจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปที่ฝึกงานเอาเพราะว่าลองคำนวณแล้วมันประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าวงเล็บอันนี้เป็นแนวทางสำหรับคนที่มาอ่านว่าจะจัดยังไงดีถ้ามีข้อจำกัดด้านการเงินเพราะตอนนี้ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะค่อนข้างเป็นทำเลทองเพราะงั้นที่พักอาศัยที่นั่นค่อนข้างมีราคาพอสมควรอย่างที่พักนึงลองคิดราคาอาหารกับเพื่อนดูแล้วก็ตกเดือนละ 5,000 บาทถึงแม้จะไปอยู่ใกล้แต่ก็ต้องจ่ายค่าเดินทางเล็ก ๆ น้อย ๆเช่น ค่าวินมอเตอร์ไซค์อยู่ดีมันเลยมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากซึ่งพอคำนวณเปรียบเทียบกับการนั่งขนส่งสาธารณะจากมธรังสิตไปที่ศูนย์ราชการมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า แต่ก็มีข้อเสียของเวลาเสียพลังงานไปกับการนั่งรถแต่ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้เพราะข้อจำกัดด้านการเงินก็เลยตัดสินใจเลือกทางนี้
พอคำนวณคร่าว ๆ ว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่บ้างก็จะมีค่าใช้จ่าย 2 ต่อแรกคือนั่งรถเมล์ไปลงที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต 20 บาทส่วนขากลับบางครั้งถ้ามีรถแอร์ก็จะเสียเงิน 25 บาทซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีรถแอร์เข้ามาในศูนย์ราชการส่วนใหญ่เป็นรถเมล์ร้อนก็จะประมาณ 7 บาทเพื่อลงฟิวเจอร์พาร์ครังสิตแล้วก็นั่งรถเมล์ต่อมาที่เมืองทองรังสิตอีก 20 บาทพอคำนวณดูวันนึงก็จะเสียประมาณ 80-90 บาทสัปดาห์นึงก็ 500 บาทเดือนนึงก็ประมาณ 2,000-3,000 บาทอันนี้คือค่าเดินทางโดยปกติยังไม่นับรวมกรณีที่ปัญหาฉุกเฉินต้องนั่งวินจากที่ทำงาน
ส่วนค่าอาหารไม่รู้ว่าจะดีใจหรือแปลกใจคือราคาเท่ากับที่เมืองทองรังสิตคือแพงพอ ๆ กันก็ตัดค่าที่พักออกไปได้ส่วนค่าอุปกรณ์จปาถะในการฝึกงานเข้าของเครื่องใช้ก็ไม่มีอะไร
แต่ไม่จำเป็นต้องมีซื้อของใช้อะไรไปเตรียมฝึกงานในส่วนของกกต. ไม่มี โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ก็คือค่าเดินทางประมาณเดือนละ 2,000-3,000 บาทประมาณนี้
หน้าที่ที่ทำของภาครัฐก็เหมือนกับหลาย ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็จะให้เด็กฝึกงานทำเรื่องงานเอกสารตัวเราก็ทำเอกสารแต่ในเชิงรายละเอียดของเอกสารก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปเอกสารจำแนกเป็น 2 แบบ
แบบแรก คือ เอกสารติดต่อข้าราชการตามปกติเป็นเอกสารประสานงานประกาศ เช่น กกต. ช่วงนั้นก็จะมีการประกาศผลการเลือกตั้งเราก็ต้องทำเอกสารต้องรู้ว่าการเขียนหนังสือราชการต้องทำยังไงแล้วหลังจากนั้นเราก็จะเอาเอกสารตัวนี้ส่งไปให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเซ็น เช่น เจ้าหน้าที่ที่เป็นพี่เลี้ยงเรา เมื่อเขาตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเอาเอกสารนี้ไปส่งให้ผู้อำนวยการสำนักแล้วก็ส่งไปให้ประธานกกต. แล้วก็เอาเอกสารกลับมาหรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่าเด็กเดินเอกสาร
ส่วนอีกรูปแบบก็คือเอกสารเป็นกรณีพิเศษ กกต. มีเอกสารกรณีพิเศษ เช่น ช่วงนั้นกกต. พยายามจะเอาข้อมูลผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกรายชื่อลงบนอิเล็กทรอนิกส์และทีนี้ก่อนหน้านี้ภาครัฐไม่ได้ทำออนไลน์เวลาสมัครอะไรคือเขียนด้วยปากกากับกระดาษส่งมาให้ ทางภาครัฐเลยมีความพยายามที่จะเอาข้อมูลขึ้นบนอิเล็กทรอนิกส์ก็เลยเป็นหน้าที่ของเราที่เอาข้อมูลของผู้สมัครทุกท่านจากบนเอกสารไปสู่อิเล็กทรอนิกส์ เช่น พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ที่เราทำก็คือทำรายชื่อของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทุกคนก็ถือเป็นความพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจในการทำงานตรงนี้พิเศษอย่างเช่นช่วงเลือกตั้งก็จะมีการรายงานตัวผู้สมัครสส. เราก็ต้องไปประจำโต๊ะแล้วก็แจก เอกสารรับรองสส. ประมาณนี้
ช่วงแรก ๆ ก็ชอบช่วงหลัง ๆ ก็ไม่อะไรเท่าไหร่ เพราะช่วงแรกก็เป็นประสบการณ์ใหม่ตัวเราก็เคยเขียนหนังสือราชการตอนทำกิจกรรมนักศึกษาแต่เราไม่เคยทำในระดับภาครัฐอย่างจริงจังก็ได้ใช้ความรู้ที่ไม่คิดว่าจะได้ใช้มาใช้แล้วก็เอกสารที่บอกไปก็คือเห็นข้อมูลผู้สมัครบัญชีรายชื่อก็ได้เห็นรูปแบบประสบการณ์ที่มาของเขาก็ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง
ขอตอบจากหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เรามาฝึกงานที่นี่แล้วกันก็คือกกต. เป็นระบบราชการอย่างที่บอกไปเราอยากรู้ว่าตัวเองเหมาะกับระบบราชการหรือเปล่าก็เลยตัดสินใจมา ข้อค้นพบอย่างน่าสนใจในการมาฝึกที่นี่พบว่า Generation Gap ในฝ่ายงานที่เราทำงานมีไม่มากเท่าที่คิดไว้หลายคนก็สามารถเข้าถึงพูดคุยได้อย่างปกติ คนในฝ่ายที่เราเข้าไปทำพบว่ามีคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับเราเยอะมาก ก็ทำให้บรรยากาศการพูดคุยไม่ได้มีปัญหามากขนาดนั้น ทั้งนี้ต้องอธิบายว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะกกต. เป็นองค์กรที่ไม่ได้มีฐานมานานมากขนาดนั้นเพิ่งจะมีองค์กรนี้ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา พี่ ๆหลาย ๆ คนก็เพิ่งสอบผ่านเข้ามาทำงานเกินครึ่งในฝ่ายที่เราทำเพิ่งบรรจุกกต. เมื่อปีที่แล้ว ในการพูดคุยก็เลยไม่ได้รู้สึกเกร็งมาก ตัวอย่างเช่นด้านการกินที่ฝ่ายจะมีการกินชาบูกันก็รู้สึกตื่นเต้นว่ามีการกินชาบูกันด้วยหรอเพราะก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้คิดมาก่อนอาจจะด้วยความโลกแคบของเราที่ไม่ได้คิดว่าชาบูจะเป็นค่านิยมของแผนก ในทุกเดือนก็จะมีการพาไปกินชาบูกันด้านภาษาวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่พี่ในแผนกก็มีการพูดคุยเรื่องสันทนาการนันทนาการคล้าย ๆกัน เช่น บางคนก็ดูการ์ตูนนารูโตะ พี่บางคนก็มีการตั้งฟิกเกอร์นารูโตะไว้ที่โต๊ะทำงานรู้สึกว่าเจนเนอเรชั่นกับการรับรู้ความเข้าใจในการทำงานต่างกันไม่มาก ถ้าถามว่าในฝ่ายมีเจ้าหน้าที่ที่อายุมากไหมก็มีอายุประมาณ 50 แต่ด้วยความที่เป็นแผนกที่มีความเป็นคนรุ่นใหม่ก็เลยสามารถเข้ากับแผนกได้มากกว่าที่คิด
อีกอย่างนอกเหนือจากวิถีชีวิตก็อาจจะเป็นเรื่องของ political idea อันนี้ก็ขอไม่ขยายความมากคือเราคิดว่าการเปิดรับฟังหรือการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองในแผนกถูกสโคปและตีกรอบไว้ในอุดมการณ์ประเภทหนึ่งพอพูดถึงความเป็นระบบราชการกกต. เราก็อาจจะมีความเชื่อหนึ่งว่าน่าจะคิดกันอย่างนี้ แต่พอเราเอาตัวเราเข้าไปในองค์กรจริงๆก็พบว่ามันไม่เหมือนกับที่คิดมีความน่าสนใจ เปิดกว้างกว่าที่คิด
ปกติเราเป็นนักศึกษารัฐศาสตร์ก็ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองอะไรพวกนี้เราก็มักจะพูดผ่านมุมมองของนักวิชาการอิสระบนโลกออนไลน์ คือพูดจากมุมมองคนนอกเพราะหลายครั้งเราก็จะวิจารณ์แสดงความคิดเห็นภาครัฐไปต่าง ๆ นานาโดยที่ไม่เคยเอาตัวเองไปอยู่ในจุดเดียวกับตัวแสดงทางการเมืองอย่างภาครัฐเลย พอเราได้เอาตัวเองเข้ามาในจุดเดียวกับตัวแสดงทางการเมืองของภาครัฐอย่างกกตก็ทำให้เห็นมุมมองความคิดที่มันแตกต่างตัวอย่าง เช่น บางช่วงเราอาจเคยไปร่วมขบวนการประท้วงเรียบร้องเกี่ยวกับสิทธิอะไรต่าง ๆ เราเป็นหนึ่งในขบวนการประท้วงแต่พอเรามาอยู่ในกกต. เรากลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มีผู้มาประท้วงพูดง่าย ๆ ก็คือคนมาประท้วงต่อจากที่ก่อนหน้าเราเป็นผู้ประท้วงตอนนี้เราเป็นหนึ่งในผู้ถูกประท้วง ก็เลยคิดว่าการที่มันทำตรงนี้ก็เลยทำให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ อย่างตอนนั้นทำให้เห็นบรรยากาศว่าในตัวองค์กรภาครัฐมีบทบาทท่าที react ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงซึ่งก่อนหน้านี้เราเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ระบบราชการเรามักจะบอกว่าระบบราชการมันช้ามันยุ่งยากอะไรต่าง ๆ พอเรามาอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เราได้เห็นกระบวนการจริง ๆ ว่ามันผ่านอะไรมาบ้างต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง
ถ้าในส่วนตรงนี้ไม่ได้กลัวขนาดนั้น มันแล้วแต่บริบทแล้วแต่ที่ ตรงนั้นมันคือศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะไม่ได้มีแค่องค์กรเดียวที่อยู่ที่นี่มีหลายองค์กรเพราะงั้นเรื่องของการรักษาความปลอดภัยถ้าพูดในกรณีสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ยาก
ไม่ได้รับโดยปกติในภาครัฐอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดนะไม่ได้มีการให้เงินเดือนฝึกงานวิธีคิดของพวกเขาน่าจะคิดในทางที่ว่าการฝึกงานคือการมาทำงานเพื่อให้ได้รับ experience แล้วก็ถือเป็นผลประโยชน์ที่คนที่มาฝึกงานได้รับไปแล้วถ้าได้รับเงินก็อาจจะมากเกินไปคิดว่าวิธีคิดน่าจะเป็นลักษณะนี้การทำงานในภาครัฐเลยไม่ได้มีการจัดสรรอะไรมากก็ตอบกับภาครัฐในหลายๆครั้งระบบค่อนข้างยึดติดทำให้การจัดสรรงบประมาณมาให้นักศึกษางานก็เลยอาจจะไม่ได้มีถ้ามีก็อาจจะต้องคุยกันแต่เนิ่นๆแต่ก็จะวนกลับไปที่ค่านิยมว่านักศึกษาไม่ต้องได้รับค่าตอบแทนก็เลยไม่มีค่าตอบแทนให้นักศึกษาค่าใช้จ่ายอย่างเรื่องการเดินทางก็ออกเองแต่ที่อื่นอย่างเพื่อนเราก็ไปฝึกงานที่สำนักข่าวที่ไม่ใช่ภาครัฐก็มีการช่วยเรื่องค่าเดินทางแต่ไม่ได้มีเงินเดือนประจำหรือบริษัทเอกชนก็มีกำหนดไว้เลยว่าได้วันละ 300 บาท 500 บาทเป็นต้นแต่ภาครัฐไม่ได้มีให้
มันจะเป็นในลักษณะที่ว่าถ้าอยากเข้า กกต. พี่มีหนังสือเตรียมสอบราชการนะ พี่มีที่ติวแนะนำนะ สำหรับเตรียมตัวเตรียมสอบนะ หรือผอ. แผนกที่เราทำงานก็ให้หนังสือเตรียมสอบให้เครื่องรางมาให้รู้สึกอุ่นใจเป็น Connection ที่เกี่ยวกับข้อมูลความรู้การสมัครสอบการเตรียมตัวสอบเข้ามากกว่า
นอกเหนือคณะประกาศว่าใครอยากไปฝึกงานที่ไหนบ้าง คณะก็จะมีการจัด workshop อบรมให้กับนักศึกษาที่จะไปฝึกงานด้วยปีที่ผ่านมามี 2 ประเภทหลัก
ประเภทหลักอย่างแรกก็คืออบรมเรื่องการเขียนหนังสือราชการใครที่อยากรู้ว่าการเขียนหนังสือราชการเป็นยังไงกลัวว่าจะไปฝึกงานแล้วถูก assign มอบหมายงานให้เขียนหนังสือราชการแล้วจะเขียนไม่เป็น
อย่างที่ 2 ก็คือการทำ Excel เรื่องตัวเลขการคำนวณข้อมูลซึ่งทั้งสองอย่างเป็นเรื่องเชิงเทคนิคว่าเรามีทักษะอะไรในการทำงานก็เป็นสิ่งที่มีการเตรียมตัวให้จากทางคณะ
งั้นก็ไปคำถามแรกที่เราคุยกันก็คือทำไมถึงมาฝึกงานที่กกต. แรงบันดาลใจหนึ่งก็คืออยากรู้ว่าตัวเองเหมาะกับระบบราชการภาครัฐหรือเปล่า ผ่านมาในส่วนของคำถามนี้ก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะกับระบบราชการอาจจะไม่ทำงานต่อเพราะเรารู้แล้วจริง ๆ ว่าระบบราชการที่เราพูดเราบ่นสงสัยว่ามันอาจจะดีไหม พอเข้ามาก็ได้พบว่ามันอาจจะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและแนวคิดของเราตามที่คิดไว้จริง ๆ