L7 Network
L7 Network
พิ้ง ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ
L7 Network สำนักงานที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเกี่ยวกับ product ซึ่งผลิตภัณฑ์ 2 ตัวของบริษัทมีชื่อว่า Layer 7 และ Layer 8 โดย Layer 7 จะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความปลอดภัย ใช้ในการป้องกันการทุจริต สืบหาต้นตอโดยใช้ตัวกลางคือผลิตภัณฑ์นี้ผ่าน network
ตอนแรกไม่แน่ใจจะฝึกที่ไหนดี รัฐหรือเอกชน แต่มีความคิดว่าถ้าเรียนจบไปทำภาครัฐดีไหม เลยอยากลองฝึกเอกชนว่าจะชอบไหม เพราะที่บ้านมีแค่ป๊าที่ทำงานเอกชน นอกนั้นเป็นข้าราชการหมด พอได้ลองคุย ป๊าอยากให้ลองเอกชนดูแล้วพอดีกับป๊าทำเกี่ยวกับ IT พอดี ก็เลยบอกให้เราลองด้านนี้จะได้รู้ว่าชอบหรือเปล่า
บริษัทนี้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทป๊าพอดี ป๊าเลยติดต่อให้ว่าเราสนใจฝึกงานแล้วก็ส่งรายละเอียดให้ ส่วนนี้อาจจะใช้คอนเนคชั่นนิดนึง เพราะปกติบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ จะมีช่วงเปิดรับสมัคร internship แต่ถ้าเป็นบริษัทเล็ก ๆ ส่วนใหญ่อาจจะติดต่อกันแบบนี้ นอกเหนือจากการติดต่อแล้วก็จะมีการส่งเรซูเม่ไป โดยสิ่งที่ใส่ไปในเรซูเม่คือ ภาษาที่สาม ภาษาเกาหลี เลยอาจเป็นข้อดีข้อนึง
“ภาษา” “การพูด” และ “การเขียน” เพราะด้วยความที่ฝึกในบริษัทต่างประเทศส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ภาษาเขียนจะใช้ในการเขียนอีเมลล์เสมอ ที่ภาษาเขียนสำคัญเพราะไม่สามารถใช้ ครับ/ค่ะได้เลยต้องเลือกคำนิดนึง แล้วส่วนตัวก็ได้แปลคู่มือการใช้งานที่มีศัพท์เฉพาะทาง IT ค่อนข้างเยอะเลยอาศัยทักษะภาษาเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งถ้าเราต้องการฝึกในบริษัทข้ามชาติ ภาษาที่สามหรือสี่ก็จะเป็นประโยชน์มาก และอีกอย่างที่สำคัญคือพวกโปรแกรมพื้นฐานอย่าง word เพราะจำเป็นสำหรับหน้าที่ของพี่
การไปฝึกงานต้องไปฝึกที่ไต้หวัน ดังนั้นขั้นตอนการไปก็จะมี อันแรก การทำวีซ่า เป็นวีซ่า 90 วันสำหรับ business
อันที่สอง ค่าที่พัก ในไต้หวันค่าที่พักแพงมาก เริ่มต้นที่ 7000-8000 บาท
อันที่สาม ค่าเดินทาง
อันที่สี่ ค่ากิน แต่ก็ไม่ค่อยเสีย พี่ ๆ ในบริษัทค่อนข้างใจดีนิดนึง ส่วนใหญ่เลยหนักที่ค่าเดินทาง
พี่อยู่ในฝ่าย sale ปกติในบริษัทจะมี 3 ฝ่าย engineer, sale และ finance แล้ว sale ก็จะแบ่งออกเป็นภายในกับภายนอกประเทศ โชคดีที่บริษัทมีพาร์ทเนอร์คนไทยด้วย การติดต่อสื่อสารก็มีภาษาไทยเข้ามาบ้างเลยทำให้สบายนิดนึง แต่เนื้องานค่อนข้างจำเจ ส่วนใหญ่จะเป็นการคุย มีทั้งเราติดต่อไปและเขาติดต่อมา บริษัทในประเทศต่าง ๆ ที่คอยติดต่อกัน ในส่วนนี้ก็จะไปดูขั้นตอนต่าง ๆ จากพี่เลี้ยงว่าทำยังไง บางครั้งก็ได้ติดต่อเอง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดำเนินการผ่านการแนะนำจากพี่เลี้ยง ซึ่งพี่เลี้ยงก็จะคล้ายผู้จัดการของแผนก เพราะคอยดูแลงานต่างประเทศเลย และจะมีพี่อีกคนที่คอยดูแลในประเทศ หลายคนก็จะคอยช่วยเรา เวลาที่เราไม่ได้ติดต่อลูกค้า เขาก็จะสอนให้เรารู้ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เราคุยกับลูกค้าได้ อย่างการประกอบเครื่องผลิตภัณฑ์เอง หรือการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ เช่นเรื่องความสำเร็จของบริษัท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจแกรมมาร์ การแปลเป็นภาษาไทย
ไม่มีเลย หลังเลิกงานจะไม่มีการติดต่อเรื่องงาน แต่อาจมีเรื่องชวนไปเที่ยวบ้าง หรือถ้ามีก็จะขอให้มาดูในวันที่ทำงาน
โดยปกติในบริษัทใช้ภาษาจีน แต่โชคดีที่ในการทำงานพี่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เวลาใช้ชีวิตในบริษัทเลยยากนิดนึงเพราะเขาคุยภาษาจีนกัน ในช่วงเดือนแรกเลยต้องปรับตัวมากทั้งภาษาและไม่มีเพื่อนเลย คนที่อายุห่างกันไม่มากเป็นพี่เลี้ยง เขาก็จะพยายามชวนคุย แล้วในบริษัทก็มีคนประมาณสิบคนนิด ๆ ด้วย เป็นองค์กรค่อนข้างเล็ก ส่วนสังคมนอกเหนือจากการทำงานก็รู้สึกว่าไต้หวันเป็นเมืองที่ค่อนข้างเหงา พอสี่ทุ่มก็ไม่มีอะไรแล้ว ช่วงแรกก็เลยเหงา แต่โชคดีที่พักเป็นแชร์เฮาส์ที่มีคนไทย เขาเลยพาเราไปเที่ยวบ่อย ๆ ทำให้ไม่เหงามาก ส่วนวัฒนธรรมองค์กรจะเป็นบริษัทที่ไม่ค่อยเคร่งในเวลาการเข้าออกงาน อย่างพี่เลิกงานห้าโมงครึ่ง แต่รถมันติดเลยเลิกเลทออกไปอีกนิดหน่อยตามงานที่เราทำ ตอนทำงานก็ไม่ได้เครียดมาก ไม่ได้บังคับให้เราไปนั่งทำงานตลอดเวลา เล่นได้บ้าง แต่ขอประสิทธิภาพในงาน วัฒนธรรมอันนึงที่ค่อนข้างแปลกใหม่ บริษัทมีเวลาพักเที่ยงนาน อย่างการออกไปกินข้าวเที่ยงมื้อใหญ่แล้วกลับมานอนกลางวัน หลังจากนั้นค่อยทำงาน รวม ๆ ก็นับว่าพักเที่ยงประมาณ 3 ชั่วโมง อาจนับว่าเป็น culture shock ในองค์กรได้
มีการอบรม Excel ที่มีประโยชน์ และการเขียนเอกสารราชการ แต่ส่วนตัว พี่คิดคณะควรเพิ่มโปรแกรมอื่น ๆ เพราะจะได้เป็นประโยชน์กับนักศึกษาในวงกว้างมากขึ้น ไม่จำกัดแค่ในส่วนราชการ
EL และ EG ตัวเขียนของ EG331 ที่ทางคณะให้เรียนค่อนข้างเป็นประโยชน์เพราะอาจารย์ตรวจงานและคอมเมนต์ละเอียดทำให้เราได้รู้ถึงข้อผิดพลาดและข้อควรพัฒนา
อย่างแรกคือเราได้พัฒนาภาษาเยอะมาก จากตอนแรกเราพูดภาษาจีนไม่ได้เลย แต่หลัง ๆพัฒนาจนสามารถสั่งข้าวได้ ซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ ซึ่งได้เรียนรู้จากคนในบริษัทค่อนข้างเยอะ แล้วก็ได้พัฒนาภาษาอังกฤษในการเขียนเยอะมาก เพราะได้ใช้ตลอดทำให้มีการเลือกคำได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องของการทำงาน บริษัทค่อนข้างมีมายด์เซทที่ดีเกี่ยวกับการทำงานผิดพลาด ตอนที่ฝึกงานวันแรกเขาก็บอกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรพลาด ทุกอย่างแก้ไขได้ แต่ด้วยความที่เรา
ทำงานกับพี่เลี้ยงการทำผิดพลาดก็เลยไม่เกิดขึ้น
มีส่วนช่วยมาก เพราะจะช่วยให้เราได้เป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม รู้บทบาทของตัวเองผ่านการทำกิจกรรม ทำให้เราสามารถแสดงความคิดที่เหมาะกับสถานการณ์
ส่วนตัวอยากทำเอกชนมาตลอด แต่อยู่กับที่บ้านก็จะได้แนวคิดเกี่ยวกับการทำงานภาครัฐเพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้กำลังชั่งน้ำหนักว่าสายไหนเหมาะกับเรา จากประสบการณ์ส่วนตัวก็รู้สึกว่าเอกชนน่าสนใจมาก แต่ถ้าฝั่งรัฐบาลที่เคยทำงานด้วยอาจจะยังไม่ค่อยเข้ากับเรา ตอนนี้ฝั่งเอกชนเลยมีน้ำหนักมากกว่า เอกชนที่อื่นจะน่าสนใจไหมเลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำเอกชนดู
ช่วยได้มาก แต่เราฝึกงานแค่ 2 เดือน พอจะปรับตัวได้ก็จบการฝึกงานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เราได้เข้าใจเกี่ยวกับเอกชนมากขึ้นว่าเป็นยังไง