Bangkok Post
Bangkok Post
จั๊บ ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ
บริษัท บางกอกโพสต์ จำกัด มหาชน หรือว่าที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ครับ จริง ๆ เขาไม่ได้ทำหนังสือพิมพ์อย่างเดียวหรอก เขาทำหลายอย่าง แต่ว่าหลัก ๆ คือเราไปฝึกในส่วนของหนังสือพิมพ์
ตอนแรกลังเลอยู่ว่าจะฝึกที่ไหนดี เราเล็งไว้สองที่ คือ ไม่งานด้านสถานทูตก็อยากฝึกงานด้านสื่อ
เพราะว่าจริง ๆ คืออยากทำงานด้านนี้ด้วย จริง ๆ ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ฝึกงานได้ แต่ว่ามันมีงานของปีที่แล้วที่จัดให้พี่ปี 4 เขาจะมาพูด แล้วเราไปเจอคนนึง ขอพูดชื่อเลยละกันว่า คือ พี่นนท์ นนทิพัทธิ์ บางแวก พี่เขาไปฝึกบางกอกโพสต์ อย่างที่เรารู้ว่าบางกอกโพสต์เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เราก็เลยมองว่ามันท้าทายดี ได้ไปทำข่าว ได้ไปเขียนอะไรอย่างนี้ ก็เลยขอคอนแทคพี่นนท์ไว้ แล้วก็ลองมาสมัครที่นี่ดู
หลัก ๆ เลยนะ คือ จะรู้ได้ไงว่าเขาจะรับสมัคร คือเราต้องโทรไปถามก่อน บางกอกโพสต์คือเค้าไม่ได้มีประกาศอะไรเลย ฉะนั้น ทางเดียวที่เราจะรู้ว่าเขารับสมัคร คือ โทรไปถาม เพราะหลายที่ เช่น The101.world The Standard เขาจะมีประกาศรับสมัครเด็กฝึกงาน
แต่บางกอกโพสต์ไม่ได้มีประกาศแจ้งอย่างเป็นทางการ หรือ อีเมลไปถามก็ได้ แต่ง่ายสุดคือโทรไปหา HR ว่ารับฝึกงานมั้ยครับ แล้ว HR ก็จะบอกว่า ให้ลองส่งแนะนำตัวมาก่อน จริง ๆ เขาไม่ได้ระบุว่าต้องส่งอะไรบ้าง แต่พี่แนะนำว่าให้ส่ง Portfolio, Statement of purpose และอีกอย่างที่แนะนำคือพวกงานเขียน ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่ลงสู่สาธารณะก็ได้นะ อาจจะเป็นข้อสอบเขียนก็ได้ อย่างเราก็ส่งตอนที่เขียนไฟนอลวิชาการเมืองและการต่างประเทศรัสเซีย (PO385) ที่มันเป็นภาษาอังกฤษไป ซึ่งถามว่ามีผลอะไรไหม คืองานเขียน Academic กับ Journalist มันคนละแบบอยู่แล้ว จริง ๆ เราก็แค่แนะนำตัวมันก็พอโอเคอยู่ แต่ส่งไปให้เขาดู มันก็ทำให้เขารู้จักเรามากขึ้น
มันเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ถามว่า ‘ภาษาเราต้องเลิศหรูมั้ย ?’ ‘ ต้องสอบอะไรมั้ย ?’ ก็ไม่ต้องสอบ หลัก ๆ ที่ใช้ก็คือภาษาที่เราอ่านข่าว ซึ่งถามว่ามันต้องรู้เยอะไหม เอาเป็นว่ามีพื้นฐานแกรมม่า เช่น เราก็ต้องรู้ว่า Tenses ใช้ยังไง การวางรูปประโยค ถ้าจะสมัครอันนี้นะ พยายามเตรียมตัวตรงนี้ก่อนว่า การใช้ Tenses การใช้รูปประโยคมันควรจัดวางยังไง ใช้ยังไง อันนี้เราต้องปูพื้นไปให้เรียบร้อยก่อน
แต่ถ้าถามว่า ‘ต้องแข็งแรงมากมั้ย’ เอาเป็นว่าอยากให้มัน(พอ)รู้ละกัน อีกอย่าง คือ คำศัพท์ คำศัพท์ส่วนใหญ่ก็คือคำศัพท์ที่เราเห็นได้ทั่วไปในข่าว ซึ่งเราก็เก็บจากข่าวทั่วไปได้ ถ้าอ่านข่าวทุกวันมันก็เก็บตรงนี้ได้อยู่ ด้วยความที่มันเป็นข่าว เราไม่ได้เขียนให้นักวิชาการอ่าน ฉะนั้นคำศัพท์มันจะไม่ได้เลิศหรูอะไรขนาดนั้น แต่ศัพท์พยายามเก็บเยอะ ๆ เวลาเขียนเราจะได้เขียนเร็วขึ้น อันนี้มันจะใช้เวลาทำงาน
อย่างที่สอง คือ วิธีการเขียนข่าว ซึ่งมันจะต่างจากการเขียนแบบ Academic ที่จะมีคำนำ เนื้อหา สรุป ข่าวคือคนละอย่างกันเลย ข่าวมันจะมีวิธีการเขียนที่เรียกว่า ‘พีระมิดหัวกลับ’ เวลาเราอ่านข่าว สังเกตก็ได้ว่าเวลาเราอ่านแค่ประโยคแรกๆ เราจะเข้าใจว่าข่าวนี้คืออะไร แล้วข้างล่างมันคือส่วนขยายที่เติมเข้ามา ถ้าให้แนะนำคือไปอ่านและลองสังเกตข่าวภาษาอังกฤษ อย่างพวก BBC หรือข่าวเก่าของ Bangkok Post ก็ได้ เห็นได้เลยว่าก็จะใช้วิธีการเขียนแบบนี้หมด เราลองไปสังเกตดูว่าเค้าเขียนประมาณไหน อันนี้คือสองสิ่งที่เราจะให้เตรียมตัว ก็คือ 1.แกรมม่ากับคำศัพท์ 2.วิธีการเขียนข่าว ซึ่งถ้าเรียนวิชา JC มันอาจจะมีเรื่องนี้
มันไม่เชิงว่าเป็น Soft Skills แต่สิ่งที่มันต้องมีนิดนึง คือ กล้าที่จะคุยกับคนอื่น ซึ่งมันจะเป็นปัญหาในช่วงแรกว่าจะคุยยังไง เพราะฉะนั้น เราต้องกล้าที่จะตั้งคำถาม อันนี้คือเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นนักข่าว แต่ว่ามันฝึกได้ พอทำงานไปก็ฝึกได้
แล้วก็ถ้าจะฝึกที่นี่ อีกอย่างนึงที่ต้องเตรียม คือ อุปกรณ์ 2 อย่าง 1. ไอแพดหรือโน้ตบุ๊ค ถ้าไอแพดมันจะสะดวกตรงที่ว่ามันเบา ถ้าโน้ตบุ๊คก็ต้องแบกหลังแข็งเลยถ้าต้องไปหลาย ๆ ที่ ถ้าไม่มีทั้งคู่ ใช้โทรศัพท์ก็ได้ แต่มันจะไม่ค่อยสะดวกเวลาพิมพ์เขียนข่าวอาจจะยากนิดนึง 2. สมุดจดเล็ก ๆ อันนี้สำคัญ บางคนบอกว่าไม่เตรียมได้มั้ย ใช้อัดเสียงเอา คือ บางอย่างมันต้องทำงานแข่งกับเวลา แล้วถ้าเรามีอะไรไป short note ส่วนสำคัญ บางทีจับใจความไว้ก่อน มันก็จะดี สมุดสำคัญสุดแล้ว
มีค่าใช้จ่าย อันนี้ก็เป็นอุปสรรคอย่างนึงนะที่ให้ทุกคนตัดสินใจว่าจะฝึกที่นี่ดีมั้ย ที่นี่มีค่าใช้จ่าย และเราไม่ได้ค่าตอบแทน ต้องบอกไว้ก่อนว่างานของบางกอกโพสต์ส่วนใหญ่ เขาจะให้ลงทำข่าวในกรุงเทพ ซึ่งมันไปหลายที่ แล้วแต่ละที่คือเราไปเอง ฉะนั้น คือมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางแน่ ๆ แต่ส่วนตัวคือไม่มีค่าที่พัก เพราะว่าอยู่บ้าน ถ้าบ้านอยู่ในเมืองก็จะดีหน่อย แต่ค่าใช้จ่ายเดินทางคือมีเยอะแน่ ๆ บางคนอาจจะมีค่าที่พักด้วยถ้าไม่อยู่ในกรุงเทพ
เล่าก่อนว่างานที่ไปทำคือเป็นนักข่าว งานหลักคือเขียนข่าว ซึ่งข่าวมันจะมี 2 ประเภท
ประเภทแรก คือ Hard news มันก็จะเป็นข่าวแบบข่าวจริง ๆ ข่าวที่รายงานเป็นวัน ๆ อยู่แล้ว ซึ่งความยากก็คือ เขาจะแจ้งมาว่าให้เราไปไหนวันก่อนหน้า หรืออาจจะคืนนั้นเลย แล้ววันต่อมาเราก็ต้องลงพื้นที่ไปทำข่าว เสร็จแล้วก็เขียนข่าวส่งให้บก. เขาก็จะมีกำหนดเวลาว่าก่อนกี่โมงซึ่งข่าวประเภทนี้มันก็จะสั้น ๆ จะไม่ได้เยอะมาก ประมาณ 300 คำ ซึ่งหลักสำคัญของการทำงานอย่างนี้ คือ เราต้องไว ต้องรีบเขียน รีบร่าง จะวางโครงยังไง จะเขียนออกมายังไง อะไรคือใจความสำคัญที่เราต้องการสื่อและต้องการพาดหัว สอง เราต้องแม่น รายละเอียดเราต้องจดและต้องแม่น แล้วเราต้องเอามาวางว่าจะพูดถึงอะไร จะสื่อถึงอะไร
อันนี้มันจะเหนื่อยเพราะมันต้องเขียนส่งวันนั้นเลย ถ้าสมมติใครไปทำพวกสถานที่ราชการ อย่างทำเนียบ ข่าวจะมาตอนเช้า ตอนเที่ยงเราก็มีเวลาพิมพ์ ตอนเย็นก็ส่ง แต่บางครั้ง อย่างเราเคยไปทำข่าวชุมนุม แล้วข่าวมันเป็นตอนเย็น อันนั้นมันก็จะต้องรีบเขียน รีบร่าง แล้วร่างเป็นภาษาอังกฤษนะ แต่จริง ๆ ส่งเป็นภาษาไทยได้นะ บางคนอาจจะยังไม่รู้ ทำงาน(ที่)นี้ส่งข่าวเป็นภาษาไทยได้ แต่ถ้าอยากฝึกภาษา แนะนำให้ส่งภาษาอังกฤษ อันนี้คืองานประเภทแรก
‘ถามว่าส่งงานเลยเวลาได้มั้ย?’
ปัญหาคือหนังสือพิมพ์มันต้องปิดต้นฉบับ ซึ่งถามว่าที่เขียนไปจะได้ตีพิมพ์มั้ย ก็อีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งข่าวที่เราส่งไปก็ไม่ได้พิมพ์ หรือว่าได้พิมพ์แต่ว่าเปลี่ยนรูปไปเยอะมาก อันนี้คือ บก. แก้งาน
อีกประเภทคือ Feature หรือ แบบสารคดี อันนี้มันจะไม่ใช่แบบรายวัน บก. เขาจะมอบงานมาให้ว่าให้เราทำเรื่องนี้นะ อย่างเราทำเรื่องทางหลวง เราก็ต้องไปเก็บข้อมูล ส่วนมากข้อมูลจะออกไปทางสัมภาษณ์ อันนี้เราก็โทรสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ มีทั้งโทรสัมภาษณ์ มีทั้งเดินตามสัมภาษณ์ เราเคยทำงานที่ห้วยขวาง ไปเดินตามสัมภาษณ์คนจีน คนท้องถิ่นแถวนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประมาณนี้ แล้วก็สารคดีความยาวมันจะเยอะกว่า ประมาณ 700-1000 กว่าคำ
ซึ่งความต่างของทั้งสองแบบคือ ข่าว เราไม่ต้องใส่อะไรเพิ่ม เราได้อะไรมาเราเขียนอย่างนั้น เขียนตามที่เราได้รู้ เขียนตามที่ได้เห็น ได้ข้อมูล ไม่เติมแต่งอะไร ในขณะที่สารคดี มันเป็นการเขียนเล่าเรื่อง ความยากคือเราจะทำยังไงให้คนสนใจ ดังนั้น บางครั้งการเขียนก็อาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม อันนี้มันจะค้นคว้ากันเยอะ รวมถึงการสัมภาษณ์ บางครั้งการสัมภาษณ์เราต้องมีข้อมูล Based ไว้ก่อนว่าเราจะถามอะไรเขา ฉะนั้นเราต้องไปศึกษาข้อมูลก่อนว่าเรื่องที่เราจะทำคืออะไร เราถึงค่อยไปตั้งคำถาม แล้วลองไปถามเขา ดูว่าเราต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากผู้ให้สัมภาษณ์บ้าง
ก็คืองานที่ทำมีประมาณสองแบบ ทีนี้ ‘งานที่ทำเราต้องทำไรบ้าง’ ช่วงแรก ๆ มักจะเป็นงานสารคดี คือเขายังไม่รู้ว่าเราถนัดอะไร เขาจะให้เราไปตามไล่สัมภาษณ์ก่อน ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ใช่เราเป็นคนร่างเอง อาจจะเป็นการช่วยพี่นักข่าวโทรสัมภาษณ์ ช่วงแรก ๆ ที่ทำจะเป็นสารดคีกับข่าวที่ไม่ได้มีสถานที่ที่ชัดเจนตายตัว แบบว่าเขาโทรมาให้ไปที่นี้ วันต่อมาก็ไปเลย คือไปไม่ซ้ำ ไปหลายที่ วันนี้อาจจะไปเตรียมพัฒ (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ) พรุ่งนี้อาจจะไปรถไฟฟ้า คือเรายังไม่มีที่ประจำ
ทีนี้พอเริ่มประมาณสัปดาห์ที่สามที่สี่ เขาเริ่มจะให้ที่ประจำเราแล้ว อย่างเราโดนส่งไปทำเนียบ เราก็ไปทำเนียบทุกอาทิตย์ หลัก ๆ ก็ประชุมครม. อะไรอย่างงี้ เราก็เก็บข้อมูล แต่ถามว่ามีข่าวที่ไปทำที่อื่นมั้ย อาจจะมี แต่เขาก็จะแจ้งก่อน แต่หลัก ๆ เราจะมีที่ประจำ ถ้าไม่มีอะไรเราก็มาที่นี่ ถ้าถามว่า ‘มีพี่เลี้ยงไปมั้ย?’ ไม่มี แต่ยกเว้นที่ที่มันเป็นที่ประจำ ที่ที่มันเป็นราชการ อย่างเราก็ไปประจำกับคุณวาสนา นาน่วม อะไรอย่างงี้ ถ้าพวกสถานที่ราชการอย่างเช่น ทำเนียบ สภา กองปราบฯ อย่างม่อน (เฉลิมรัฐ นวลใยสวรรค์ - เพื่อนที่ฝึกที่เดียวกัน) ไปกองปราบก็จะมีนักข่าวประจำ แต่ถ้าพวกไปเดิน China town แบบทำข่าวน้องหยกก็ไปเอง จะมีบางครั้งที่เขาต้องการภาพ เขาจะส่งช่างภาพไป ซึ่งช่างภาพเขาถ่ายเสร็จแล้วเขาก็กลับเลย แต่เราต้องเฝ้าทำข่าวต่อ มีตอนไปทำข่าวน้องหยก ไปตั้งแต่ 7 โมง ช่างภาพมาประมาณ 7:30 หยกปีนรั้วประมาณ 8 โมง ช่างภาพเสร็จแล้วไปเลย เราก็ดูสถานการณ์ต่อ แต่ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้แหละ จะลงพื้นที่คนเดียว ติดบัตร Trainee ไว้
สิ่งที่ได้คือเราได้ผลงาน ถ้าได้ตีพิมพ์ เราก็จะได้ผลงานในแง่ที่ว่าเราลองทำจริง ในแง่หนึ่งคือเราได้ลองทำงานด้านนี้จริง ๆ คือ เราได้ใช้ภาษา เราฝึกเขียน เราฝึกเรียบเรียงข่าว ได้ลงสถานที่จริง คือการันตีว่ามีการตีพิมพ์แน่ ๆ บก. ใหญ่บอกเลยว่าในรอบสองเดือนเทรนนีจะได้ตีพิมพ์อย่างน้อย 3 ครั้ง ชัวร์ ๆ แน่ ๆ ฉะนั้นถ้าใครจะเก็บผลงาน อันนี้ก็โอเค มันมีการลงผลงานแน่ ๆ แต่เราต้องเช็กกันเอาเองนะว่าเขาลงมั้ย คือตอนฝึกงาน เรานั่งเปิดแอปหนังสือพิมพ์ทุกเช้าว่าเขาลง (งานของเรา) มั้ย ถ้ามีก็คือรีบไปหาซื้อเก็บเลย มันจะตื่นเต้นในอะไรแบบนี้
ด้วยความที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศ เลยไม่ได้รู้วัฒนธรรมองค์กรมากขนาดนั้น จะรู้แค่ว่าถ้ามีพี่เลี้ยงประกบอยู่ อันนั้นถึงจะรู้ว่า เขาคุยอะไรกันบ้าง ติดต่อกันยังไง งานมันค่อนข้างเอกเทศ วัน ๆ ลงแต่พื้นที่ ไม่รู้เลยในออฟฟิศมีอะไรบ้าง บางครั้งพูดตรง ๆ ว่าด้วยความเป็นนักข่าว เขาก็ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศกันอยู่แล้ว เรารู้แค่วันแรกที่ HR พาเดินรอบออฟฟิศแนะนำว่านี่นะฝ่ายบรรณาธิการ อันนั้นเราพอรู้โครงสร้างนิดนึงว่าแบ่งเป็นส่วนแบบนี้
ด้วยความที่ไม่ได้เข้าองค์กร องค์กรจะไม่ค่อยรู้ แต่สิ่งที่เราได้รู้จากงานนี้เต็ม ๆ เลยคือการทำงานของนักข่าว คือเราเห็นของจริงเลยว่านักข่าวเขาทำงานกันยังไง เขาถามประเด็นไหนกัน เขาเตรียมกันยังไง อย่างเรื่องการจด Short note เราก็สังเกตจากพวกนักข่าว พวกพี่เลี้ยงอะไรเหมือนกันว่าเขาทำยังไง การทำงานทำยังไง ยิ่งถ้าไปในที่ที่มันเป็นที่ประจำ มันจะมีห้องนักข่าวให้อยู่ อย่างทำเนียบมันจะมีเรียกว่า รังนกกระจอก เราจะเห็นเลยว่าพี่ข้าง ๆ เขาทำอะไรบ้าง ปกติเขาจะมีที่อัดเสียง แต่จริง ๆ เราอัดโทรศัพท์ก็ได้ คือเราจะเห็นเลยว่าพี่เขานั่งแกะกันทีละคำ ๆ เราจะเห็นการทำงานของเขาอย่างชัดเจน เพราะไปทีนึงมันไม่ได้ไปแค่บางกอกโพสต์ มันไปเป็นนักข่าวหลายคน จริง ๆ นักข่าวเขาไม่ได้แข่งกันนะ เขาช่วยกันด้วยซ้ำ นักข่าวเขาจะเป็น Community กัน จะช่วยกันทำงาน สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือกระบวนการทำงาน หนึ่งคือนักข่าวทำงานกันยังไง
แล้วโอกาสที่สำคัญมากก็คือเราได้ไปในที่ต่าง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ยอมรับว่าในฐานะสื่อมวลชนที่เข้าไปทำข่าว ไปถาม อันนี้คือโอกาสหนึ่งที่เราจะได้คุยกับคนที่เป็นข่าว หรือไปในสถานที่ที่มันเป็นข่าว อันนี้คือโอกาสสำคัญเลย ยอมรับว่าบางกอกโพสต์มันมีความน่าเชื่อถืออย่างนึงคือมันเป็นสำนักข่าวที่ทำมานาน ฉะนั้นหลายงานบางกอกโพสต์จะได้รับเชิญไป ตรงนี้บางกอกโพสต์ offer (ให้) เราได้ดีพอสมควรเลย ในเรื่องโอกาส ในเรื่องของการทำงานที่เราได้ไปเห็นของจริง เราได้ไปลองทำจริง ๆ
แล้วก็โอกาสที่เราจะได้เข้าถึงข้อมูลที่เบื้องลึกเบื้องหลัง มันเหมือนเป็นการเพิ่มความรู้เหมือนกัน ตอนทำทำเนียบมันไม่ได้มีแต่นักข่าวสายการเมือง มันจะมีโต๊ะ section ของนักข่าวเศรษฐกิจที่เขาประจำทำเนียบเลย พวกกรุงเทพธุรกิจ ไทยรัฐMoney อะไรแบบนี้ เราก็เคยคุยแลกเปลี่ยนกับเขาได้ ถ้าถามว่า ‘ได้อะไรจากอันนี้’ ได้องค์ความรู้ ได้ประสบการณ์ ได้โอกาสได้ลองทำ
ด้วยความที่เป็นการเขียนข่าว หลัก ๆ ก็ JC202 (วส. 202 การเขียนเชิงวารสารศาสตร์ หรือ
Journalistic Writing) เราไม่เคยเรียนหรอก ถ้ามีโอกาสไปเรียนก็ดี แต่มันต้องผ่าน JC200 นะ บางครั้งถ้าเราเขียนข่าวเศรษฐกิจ EC210 ก็อาจจะสำคัญนิดนึง แต่หลัก ๆ คือ JC202
ช่วย ด้วยความที่เราไปทำข่าวการเมืองด้วย ถ้าเรารู้การเมืองไทยว่าใครคือใคร ใครเส้นสายกับอะไร หรือระบบการเมืองเช่น เราไปทำข่าวช่วงที่เขาเลือกนายก เราเข้าใจได้โดยง่ายว่าระบบมาเป็นยังไง มันจะเข้าใจพื้นของมัน มันช่วยในแง่ที่ว่ามันทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของที่เกิดได้มากขึ้น แล้วเราก็จะเขียนมันได้ง่ายขึ้น พูดตรง ๆ คือฝึกที่นี่มันคือทำงานไม่ตรงสายนะ นักข่าวไม่ได้จบรัฐศาสตร์อยู่แล้ว แต่เราคิดว่ารัฐศาสตร์เป็นแต้มต่อละกัน ที่ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เพราะพี่นักข่าวก็มีมาถามเราเหมือนกันว่า ระบบรัฐสภาอย่างงี้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เราก็จะพอแนะนำเขาได้
ช่วยนะอย่างกลุ่มเม็ดเลือดแดง พวกตระกูลงานเขียนมันช่วยให้เราจัดลำดับความคิดได้ว่าเราควรจะเขียนยังไง ยอมรับว่ามันต่างจากการเขียนเชิงวิชาการ (Academic) อยู่แล้ว อย่างน้อยสิ่งที่เราต้องใช้เบสิคของการเขียน คือ เราต้องเรียงลำดับความคิดให้ได้ว่าอะไรคือใจความสำคัญ อะไรต้องเขียน อะไรควรอยู่ข้างบน แล้วยิ่งการเขียนเราไม่ได้เป็นได้ชั่วข้ามคืน การสะสมประสบการณ์มันคือสิ่งที่สำคัญ เขียนในข้อสอบหรือรายงานบางครั้ง เราเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ได้นะ พวกนี้แหละมันช่วยเราเก็บเกี่ยววิธีการเขียนได้ดีขึ้น
หลัก ๆ สำคัญสิ่งที่เกี่ยวกับอันนี้นะ คือ การสื่อสาร เพราะเราต้องคุยกับคนอื่น การเป็นนักข่าวคือเราต้องคุยกับคนอื่น ต้องสอบถามคนอื่น ถ้าเราเริ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ ได้ คุยกับเพื่อน คุยกับเพื่อนในสาขา คุยกับคนในกลุ่มกิจ มันจะทำให้เรากล้าที่จะไปเริ่มต่อกับงานใหม่ ๆ และการทำงานกับคนอื่นมันก็ช่วยทำให้เรากล้าที่จะสื่อสาร กล้าที่จะตั้งคำถาม
ยอมรับว่าชอบมาก ๆ คือส่วนตัวก็อยากทำงานสายนี้แหละถ้ามีโอกาส แต่เราก็สนใจอย่างอื่น เช่น ในด้านการทูต แต่ถ้าให้เทียบ เราว่าเราชอบสายนี้ที่สุด คือด้วยความที่ได้ไปทำจริง ยิ่งในสภาวะที่ต้องลงคนเดียวด้วย ไม่ได้บอกนะว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ว่าในแง่นึงมันทำให้เรารู้ว่าเราโอเคกับงานนี้หรือเปล่า เพราะพูดตรง ๆ ว่าการทำงานปกติมันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ ซึ่งเราโอเคในตัวของเนื้องานของงานที่มันต้องทำ เราสนุกกับมัน เรายอมรับว่าสองเดือนเป็นการฝึกที่สนุกสำหรับเรา ได้ประสบการณ์ที่สนุกเลย