กรมองค์การระหว่างประเทศ
กรมองค์การระหว่างประเทศ
คิวท์ ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ
กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการระหว่างประเทศ
ก็ด้วยความที่เราเรียนการระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่ชอบพูดว่าจบไปเป็นทูต ทำงานกระทรวงต่างประเทศรึเปล่า ก็เลยอยากจะลองดูว่า 'ความตรงสาย' ของเราที่สุดมันเป็นยังไง เราก็อยากเรียนรู้ถึงระบบราชการไทยว่าเข้าไปทำงานแล้วจะเป็นยังไง และก็ผนวกกับที่เขาว่ากันว่ากระทรวงต่างประเทศเป็นหน่วยงานราชการที่มีความเป็นราชการน้อยที่สุดในระบบราชการไทยเกือบทั้งหมด เราก็เลยอยากลองเข้าไปดู
แบ่งเป็น 2 แบบนะคะ ก็คือ โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นเราเลือกเอง แต่ว่าถ้าเกิดเข้ากับโครงการกลาง MFA internship มันก็จะเลือกได้สี่ลำดับ ถ้าไม่ได้อันดับนึงก็จะได้เป็นลำดับรองลงมา อีกแบบที่เราเข้าก็คือ การยื่นคำร้องประมาณว่ายื่นไปสอบถามกับหน่วยงานโดยตรง อันนี้ก็ถือว่าเราเลือกเองโดยตรง โอกาสได้ทั้งสองแบบพอ ๆ กัน MFA เยอะกว่าในแง่ของจำนวนเพราะเขารับเยอะมากมีกันเยอะแต่ไม่รับประกันว่าจะติด ในขณะที่การแข่งขันแบบยื่นเข้าเองเนี่ยมันน้อยแต่ก็มีโอกาสที่เขาจะปฏิเสธสูงเหมือนกัน เพราะเขาอาจจะไม่เปิดรับตั้งแต่แรก แต่ถ้าได้คือเข้าไปเลยไม่ต้องแข่งกับใคร
เรายื่นไปสองแบบ รอบแรกยื่น MFA INTERNSHIP รับเข้าระบบกลางแต่ไม่ติด เราเลยยื่นเข้าไปเองอีกรอบ เข้าไปที่เว็บไซต์ของแต่ละกรม คือแต่ละกรมจะมีเว็บไซต์ของตัวเอง มีเว็บกระทรวงต่างประเทศกลางเนี่ยแหละ แล้วแต่ละกรมก็จะมีเว็บแยกย่อยออกไป บางกรมก็จะมีเปิดรับนักศึกษาฝึกงานเขาจะมีบอกอยู่แล้วว่าท่านใดประสงค์ฝึกงานให้ติดต่อมาแบบนี้โดยใช้อะไรยื่นบ้าง เขาก็จะทิ้งไฟล์ไว้ให้ ส่วน MFA ก็จะมีรับเป็นรอบเหมือนสอบเข้ามหาลัยงี้ มีกำหนดรอบรับของเขาเอง เวลานี้ถึงนี้เปิดรับ เวลานี้ถึงเวลานี้ฝึกงาน แต่ว่านักศึกษามหาลัยอื่นที่มีช่วงฝึกไม่ตรงกับ MFA Internship เขาก็จะยื่นแบบส่วนตัวมาเพราะเขาสามารถกำหนดช่วงฝึกงานได้เอง
หนึ่งต้องดูว่าเขาเปิดรับสมัครช่วงไหน ก่อนจะเปิดรับสมัครเขาก็จะมีการประกาศมาก่อนว่าในการสมัครหน่วยงานต้องการอะไรจากคุณบ้างและจะปิดรับสมัครช่วงไหน ก็จะให้เป็นกำหนดการคร่าว ๆ มา และจะมีบอกว่าผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างถ้าจะสมัครให้ทำยังไงบ้าง คือเขาจะมีเอกสารระบุให้เป็นขั้นตอนเลย ข้อสอบของเขาเป็นเรียงความ คิดว่าน่าจะเป็นหัวข้อเหมือนกันทุกปี ก็คือหัวข้อ ทำไมอยากฝึกงานที่กระทรวงต่างประเทศ เขียนมือส่งไปพร้อมใบประวัติ Transcript ใบยืนยันสถานะนักศึกษา รูปถ่าย อันนี้คือเอกสารที่ต้องให้เขา ส่วนที่เหลือที่เป็นคะแนนภาษาคะแนนอื่น ๆ เรากรอกประวัติให้เขาแบบในเว็บราชการอันนี้เขาก็จะถามเพิ่มเติมเช่นเกรดเรา ได้ภาษาที่สามอื่นมั้ย เคยทำกิจกรรมอะไรบ้าง และก็จะให้เราเลือกสี่อันดับกรมที่อยากเข้า
คิดว่าจุดที่ยากคือตรงที่คนสมัครเยอะและด้วยความที่ว่าระบบเขามีคนที่เป็นน้ำดีเยอะอยู่แล้ว สิ่งที่ยากคือเราจะทำยังไงให้ต่างจากคนอื่น อะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่เด็กเย็บเอกสาร ชงกาแฟ เราต้องเข้าไปแล้วแบบว่าพร้อมที่จะเรียนรู้และไปช่วยเขา ไม่ต้องกดดันตัวเองนะว่าเราต้องเก่งเท่าเขา แต่ว่าอย่างน้อยเรียงความที่เราเขียนส่งไป เราต้องแสดงให้เขาเห็นอยู่ประมาณสองอย่างคือความเป็นตัวของตัวเอง และเข้าใจใน identity ของกต. ว่าเขาเป็นหน่วยงานแบบไหน ยังไง
เวลาเขียนเมลเขียนเมลส่งไปยังไง
เขียนเหมือนติดต่ออาจารย์หน่วยงานราชการ ก็คือใช้คำสุภาพและภาษาทางการกับเขา ประมาณว่าแนะนำตัวว่าเราเป็นใคร ชื่ออะไรเรียนที่ไหน คณะอะไร มีความสนใจที่จะฝึกงานที่นี่อย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น แล้วก็เอกสารตามรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่เขาแนบไว้ให้ อย่างครั้งแรกเราก็เมลไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเขาว่ายังรับนศ.ฝึกงานอยู่ไหม ถึงเขาจะมีประกาศเปิดรับบนหน้าเว็บเอาไว้ก็จริงแต่ก็อาจจะไม่เปิดรับแล้วก็ได้ เราก็ถามไปว่าเปิดรับไหม สะดวกฝึกงานในช่วงเวลานี้ ซึ่งตอนนั้นเราไม่ติดโครงการ MFA Internship แล้วตอนนั้นประมาณเมษา ซึ่งมันกระชั้นชิดพอสมควร โชคดีที่เขาตอบรับการฝึกงาน เราก็ส่งเอกสารให้เขาไปตามที่ระบุ เรซูเม่ ซีวี อะไรต่าง ๆ เขาอาจจะขออย่างอื่นเพิ่มเช่นส่งเรียงความมาให้หน่อยหัวข้ออาจจะต่างกับของ MFA Internship แต่ก็จะเป็นหัวข้อทั่วไปเหมือนเดิม
คิดว่าทักษะอะไรจำเป็นบ้าง
Soft skill สำคัญมากเข้าไปแล้วจะทำให้เรารู้อย่างนึงว่า ว่ามันมี pressure มีคนที่ทำงานอย่างจริงจังและก็มีคนที่สอบเข้ามา เขาเป็นคนเก่ง การที่เราเข้าไปเริ่มฝึกงานกับเขาเราก็ต้องตามให้ทันว่าเขาทำงานกันยังไง แล้วเราต้องปรับตัวกับวิธีทำงานหรือสังคมใหม่ ๆ ให้ได้
ง่าย ๆ คือ Soft skill ที่เราว่าสำคัญคือการปรับตัว ต้องทำความเข้าใจว่าระบบของเขาทำงานแบบนี้ ๆ ระบบราชการไม่ใช่ระบบที่ nonsense เสียทีเดียว เป็นระบบที่เป็นระเบียบ มีคนมาและมีคนไปแต่งานก็ต้องคงอยู่ ไม่ใช่ว่าคนนึงไปทำโครงการต่างประเทศแล้วหายตัวไปเลยพร้อมกับงานโครงการเลย แต่ว่าระบบราชการจะทำให้รู้ว่าคนนี้ไปทำงานที่ต่างประเทศ แต่คนอื่นจะรู้ process งานเท่า ๆ กัน งานดำเนินต่อได้ ประมาณนั้น
กรมองค์การระหว่างประเทศ เขามีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
กรมองค์การระหว่างประเทศ ตามชื่อเลยจะทำเกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วม ไทยเป็นพาร์ทเนอร์ หรือไทยไม่ได้เป็นพาร์ทเนอร์ แต่มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไทยก็ต้องตามให้ทัน แต่ด้วยความที่พาร์ทใหญ่ ๆ ของการดำเนินการขององค์ระหว่างประเทศไทยมันก็คือยูเอ็น แล้วไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่แอคทีฟกับยูเอ็นเยอะมาก SDGs อะไรพวกนี้ และก็องค์การเครือลูกของยูเอ็นเหมือนกัน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง human rights สิ่งแวดล้อมอะไรต่าง ๆ กรมองค์การระหว่างประเทศเลยมีชื่อเล่นว่ากรมยูเอ็นเพราะงานส่วนมากที่เข้ามาจะเกี่ยวกับยูเอ็นเสียส่วนใหญ่
ในกรมองค์การระหว่างประเทศ ข้างในจะแบ่งเป็นกองอีกเนอะ แต่ละกองจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ที่เราทำคือกองสำนักงานเลขานุการกรม ก็คือเป็นเลขาให้กรมที่ไม่ใช่เลขาให้คน หน้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นงานเอกสารทั่วไปซะมาก ถ้าพูดง่าย ๆ เราจะเป็นกองที่ทำงานเกี่ยวกับรัฐศาสตร์น้อยที่สุดละ ส่วนใหญ่จะเป็นงานเลขาที่ทำเอกสาร มีงานประชุมก็ไปจัดเตรียมห้องประชุม ถ้ามีมีตติ้งกรมเราก็ดูแล เราจะเป็นคนจองห้องประชุม ทำรายชื่อแขก จัดจองอาหาร จัดจองของว่าง จัดเตรียมเอกสารที่ใช้ในการประชุม และก็ทำงบเกี่ยวกับการประชุมที่จัด รวมถึงงานทำงบประมาณเบิกจ่ายโดยรวม ดูแลวัสดุครุภัณฑ์ของกรม พี่เขาเล่าให้ฟังขำ ๆ ว่าถ้าว่าง ๆ ก็ไปเดินนับเก้าอี้ในกรมว่าครบเนอะ ไม่ได้มีตัวไหนพัง จะได้ลงบิลซื้อใหม่ให้ทันเบิกจ่ายงบประมาณรอบหน้า ซึ่งงานส่วนใหญ่ดูเป็นงานจับฉ่ายแต่ก็เป็นงานสำคัญ
ชอบไหมกับงานกอง 01 ที่ฝึกงาน
มันก็มีจุดที่ชอบเยอะมากและจุดที่เสียดายอยู่ จุดที่เสียดาย คือ เราไม่ได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับรัฐศาสตร์ตรง ๆ ขนาดนั้น คือถามว่าใช้ความรู้ไหม ก็ใช้ไม่ปฏิเสธเลย เราได้เรียนรู้และเข้าใจว่าทำไมสิ่งนั้นเป็นแบบนี้ทำไมเรื่องนี้เป็นแบบนั้น แล้วเหตุการณ์พวกนี้สำคัญต่องานของเราอย่างไร เราก็สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจของศัพท์เฉพาะรัฐศาสตร์มาเชื่อมโยงได้ว่าทำไมไทยถึงต้องแสดงออกต่อเรื่องนี้ในแง่นี้ ประมาณนั้น ความรู้รัฐศาสตร์อื่น ๆ มันก็มีใช้บ้าง เช่นตอนที่เขาให้เราทำงาน Infographic เกี่ยวกับงานวันสำคัญของโลก ก็ต้องอาศัยความรู้และการตีความให้งานของเราสามารถสื่อสารออกไปให้คนภายนอกเข้าใจได้
ส่วนจุดที่ชอบคือเรารู้สึกว่าเราได้ฝึกสกิลอื่น ๆ ของตัวเอง นอกจากการใช้ความรู้ในห้องเรียนระหว่างการทำงาน เราได้เรียนรู้ life skill เยอะมาก จากการทำงานที่สำนักเลขาฯ พวกเรื่องงานเอกสารที่ทุกคนว่าดูจับฉ่าย มันมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะมาก ๆ
ประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อน พี่ที่ทำงาน วัฒนธรรมองค์กรเป็นยังไงบ้าง
เราแบ่งเป็น 2 พาร์ทก็แล้วกัน คือ องค์กรกับเพื่อน เอาพาร์ทองค์กรก่อนก็คือโดยรวมเป็นองค์กรที่มีความเป็นราชการน้อยกว่าองค์กรอื่น ๆ มีความผ่อนปรนยืดหยุ่นมากกว่าที่เราคิดไว้ ถือว่าชอบเลย พี่ ๆ ในองค์กรก็ใจดีและเป็นมิตรมาก ๆ บรรยากาศในกรมเลขาเฮฮาตลอด พี่ ๆเองก็ให้เราได้ลองงานทุกพาร์ทของในกรมเลย ที่สำคัญคือพี่เลี้ยงที่ดูแลเรา เขาเป็นข้าราชการที่มีประสบการณ์เยอะ เขาเลยมีสอน skill อื่น ๆ ให้เราเพิ่มอีก เพราะเขากลัวว่าเราจะเบื่อ นั่งทำแต่งานเอกสาร พวก life skill กับมารยาททางการทูต/protocol ต่าง ๆ เราได้กลับมาอื้อเลย นอกเหนือจากพี่ ๆ ก็เรื่องเพื่อนที่เป็นโชคดีอีกหนึ่งของเรา เพื่อนที่ฝึกกรมองค์การระหว่างประเทศด้วยกันทุกคนนิสัยดีมาก ๆ มาจากต่างมหาลัยกันแต่สนิทกันเร็วสุด ๆ ไปไหนไปด้วยกันตลอด เฮฮาแบบยกโขยง อีกทั้งยังเก่งแบบสุดยอดทุกคนเลย นอกจากเรียนรู้งานจากพี่ ๆ แล้ว เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากเพื่อน ๆ เหมือนกัน
ถ้าเราทำงานผิดพลาดมันจะมีผลอะไรไหม
ไม่มีผล เพราะก่อนที่จะทำพลาดเป็นเรื่องใหญ่มันก็จะโดนตีกลับมาก่อน อันนั้นมันก็เป็นข้อดีของระบบราชการเนอะ จนกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ได้คือมันผ่านหลายขั้นตอน
มีค่าใช้จ่ายอะไรไหมในการฝึกงาน
กต. ไม่ได้มีเงินเดือนให้นักศึกษาฝึกงาน อย่างเราเนี่ยโชคดีหน่อยก็คือมีบ้านอยู่ในตัวเมืองเพราะงั้นเราเลยพักที่บ้าน ที่จ่ายก็ค่าเดินทาง เราไป-กลับด้วยบีทีเอสกับเอ็มอาร์ทีแล้วก็วินมอเตอร์ไซค์ ตรงกต. ที่เราทำงานก็ใกล้กลางตัวเมือง รถเมล์มีเยอะเดินทางง่ายหน่อย ก็แล้วแต่คนว่าบ้านอยู่ไกลไหม เห็นบางคนมาจากต่างจังหวัดก็ต้องเช่าที่พักอยู่ช่วงฝึกงาน เรื่องอาหารการกินก็ออกเอง ที่ กต. มีโรงอาหารกลางอยู่แต่ค่อนข้างเล็กส่วนใหญ่เรากับเพื่อน ๆ ก็จะไปกินที่โรงอาหารมหิดลที่ติดกันรั้วข้าง ๆ โรงเขาใหญ่กว่า อาหารราคาพอ ๆ กัน บางวันซื้อที่งานตลาดนัดของมหิดล บางวันงานเยอะก็จะสั่งเดลิเวอรี่กินกันแทน
เรามีแต้มต่ออะไรมั้ยในการที่มาฝึกที่นี่
แต้มต่อหรอ ก็เอาแบบสายตรงจำสำหรับคนที่จะสอบไปเป็นนักการทูตต่อ เรารู้สึกว่ามันมีแต้มต่อตรงที่ประสบการณ์การเข้าไปอยู่ข้างในเราไม่ได้เรียนรู้ผ่านการอ่านจากแหล่งอื่น แต่เราได้เข้าไปเรียนรู้ผ่านการเข้าไปสัมผัสจริง ๆ เราก็ได้เข้าไป interact กับคนที่สอบผ่านเข้าไปเป็นนักการทูตแล้วด้วย มันทำให้เราได้ทิปส์ได้เห็นทัศนคติแนวทางของคนที่ผ่านเข้าไป ต่อให้เราเก่งวิชาการมาก สอบภาค ก. ภาค ข. ผ่านแต่เราไปตกในรอบสัมภาษณ์เพราะเราไม่ได้เข้าใจข้างในของกต. จริง ๆ มันก็น่าเสียดาย เพราะฉะนั้นตรงนี้เลยเหมือนเป็นการได้ติวรอบการสอบสัมภาษณ์แบบอ้อม ๆ การที่ได้เข้าไปข้างในก็ทำให้เราได้หลาย ๆ อย่าง อย่างเช่น ถ้ายังไม่แม่นภาษาที่สามก็ไม่ต้องเขียนลงไปก็ได้ เพราะเขาจะเชิญผู้เชี่ยวชาญภาษานั้น ๆ มาตั้งคำถามทดสอบคุณได้ เป็นต้น ซึ่งของพวกนี้ทำให้เราได้เห็นทัศนคติที่มีมิติมากกว่าการอ่านบทสัมภาษณ์จากสื่อ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่หาฟัง หารู้ได้ยากนะถ้าไม่ได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองตรงนี้
จากที่ไปฝึกงานมามีวิชาไหนที่แนะนำให้ลงบ้าง
อันนี้เราไปถามเพื่อนมาเพิ่มด้วย ด้วยความที่กองแต่ละกองกรมแต่ละกรมทำงานไม่เหมือนกัน วิชาที่แนะนำก็อาจจะแตกต่างกันไป ส่วนตัววิชาที่เราแนะนำให้ลงเลยถ้าลงได้ส่วนตัวเราคิดว่าวิชาพื้นฐาน IA มันไม่ได้ใช้ตรง ๆ แต่สิ่งที่เราได้จากการเรียนตัวพื้นฐานคือทักษะการแปลภาษา ซึ่งการแปลภาษาโดยที่เป็นภาษานักรัฐศาสตร์และนักการเมืองมันเป็นภาษาที่คนทั่วไปอ่านไม่ออกกันเท่าไหร่ พวกเนื้อหาแฝงในพารากราฟก็เป็นการใช้การตีความที่เยอะเป็นพิเศษ อย่างในสุนทรพจน์ที่เขาพูดแบบนั้นบางทีมันอาจจะไม่ได้หมายความตามที่เขาพูดตรง ๆ ก็ได้ คือมันต้องใช้ความรู้ความเข้าใจภาษาทางรัฐศาสตร์ กับบริบทที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงพื้นฐานความสัมพันธ์ของระบบประเทศในโลกงี้ ถ้าเราตาสีตาสาไม่รู้อะไรเลย มันก็จะทำงานยากหน่อยเพราะฉะนั้นวิชาทางเบื้องต้นรัฐศาสตร์ช่วยมั้ยช่วย แต่คงอาจจะไม่ใช่แบบตรง ๆ แบบที่อาจารย์สอนตามทฤษฎีอะเนอะ
เพื่อนเราแนะนำเรียนวิชา PO282 วิชาการอ่านและการแปล IR ปีเรา ๆ โชคดีที่เป็นอาจารย์พีระกับอาจารย์สุนิดาสอน เขาก็จะชอบหา text แบบ up to date (เป็นปัจจุบัน) มาสอน คนพูดคนเขียน text พวกนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในแวดวงวิชาการรัฐศาสตร์ ซึ่งพอเราอ่านก็เหมือนเราได้อัพเดตสถานการณ์โลกว่าเคยเป็นยังไง แล้วตอนนี้เป็นไง โลกมันไปถึงไหน
อีกคนแนะนำ PO293 INTERNATIONAL LAW ORGANIZATIONS AND REGIMES ที่ก็ต้องรู้ ซึ่งตอนที่เราเรียนก็ว่าได้อะไรค่อนข้างเยอะเพราะว่าก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นจริง แบบเราก็เห็นว่าเป็นแต่ละที่ เป็นองค์กรระหว่างประเทศเหมือนกันก็จริง แต่แต่ละที่ทำงานไม่เหมือนกัน agenda ไม่เหมือนกัน แค่ UN ใหญ่ UN ย่อย ก็อาจจะมีระบบต่อระบบโลกที่ไม่เหมือนกันก็ได้
ถ้าพูดจริง ๆ แล้ว เรียนอะไรไปมันก็เอามาปรับใช้ได้หมดนะ ยิ่งถ้าทำในกรมที่ต้องทำงานหาข้อมูลเยอะ การที่มีข้อมูลจากการเรียนมาเยอะมันก็จะเป็นทางลัดให้คุณหาข้อมูลหรือมีธงในการหาข้อมูลในใจได้เร็วขึ้น ยิ่งมีความรู้พื้นฐานเราก็สามารถกำหนด range ของข้อมูลที่จะเอาไปเสนอเขาได้ อะไรอย่างงี้
การทำกิจกรรมช่วยให้เรามีทักษะอะไรเพิ่มไหม หรือว่ามีคำแนะนำอะไรบ้างไหม
เราคิดว่าช่วยมาก หนึ่งคือมันเป็นการฝึกทักษะซอฟต์สกิลอย่างมากคือเราเลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ถูกไหม แต่มันเป็นการช่วยให้เราไม่ culture shock เวลาเจอคนที่อยู่นอกสังคมเดียวกับเรา คือถ้าเกิดเราทำงานในคณะรัฐศาสตร์เราก็จะเจอคนที่ nature เดียวกันจนมันอาจจะเป็น echo chamber ว่าทุกคนเป็นแบบนี้ คือเขามีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างจากเรา การที่เราได้ทำงานและได้รับรู้ก่อนว่าเออไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะคิดในตรรกะเดียวกัน เราจะได้ไม่ไปตัดสินไม่เกิดอคติในการทำงานกับคนอื่น ๆ รวมถึงเป็นการฝึกทักษะหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
Hard Skill ที่มีก็มีหากคุณทำงานหาข้อมูลมันก็ต้องหาข้อมูล ไอการหาข้อมูลเนี่ยแหละที่ถือว่าเป็นฮาร์ดสกิลในการทำงาน คุณหาข้อมูลเป็น คุณจัดข้อมูลเป็น คุณเรียงข้อมูลเป็น ก็ถือว่าคุณมีฮาร์ดสกิล ทักษะการสื่อสารก็มาจากการเข้าร่วมและก็มีปฏิสัมพันธ์ในการทำงานการชุมนุมเหมือนกัน
พอได้ฝึกงานแล้วมีความคิดที่จะทำงานในสายนี้ไหม
เราก็เห็นทั้งข้อดีและข้อที่แบบว่ามันไม่ฟิตอินกับการเป็นตัวเอง ส่วนที่แบบน่าทำ ทำให้เราอยากมาทำงานต่อที่นี่มันก็มี ทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อมมันเชิญชวนให้เราอยากกลับมามาก ๆ ทั้งผู้คนและเนื้อหางานคิดว่าให้เป็นเรื่องในอนาคตแล้วกัน