นิตยสาร WAY MAGAZINE
นิตยสาร WAY MAGAZINE
ชื่อ แจ๊บ อยู่คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง ปี 4 ครับ
ฝึกงานที่ WAY magazine ฝ่ายบรรณาธิการครับ ถ้าย้อนไปคือเราสนในงานด้านสื่ออยู่พอสมควร ตั้งแต่ที่มาทำกลุ่มวารสารเม็ดเลือดแดงแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากที่ว่า ในช่วงก่อนฝึกงาน จะเป็นช่วงที่เราคิดว่าเราจะไปฝึกงานที่ไหน ทีนี้เราก็มาติ๊ก ๆ หาที่ฝึกงานว่าเราอยากจะไปฝึกงานที่หน่วยราชการหรือว่าเอกชน ด้วยความที่ว่าเราไม่ได้ชอบงานราชการขนาดนั้น เราก็เลยดูเอกชนไว้ด้วย ซึ่งสุดท้ายก็มาได้ที่ WAY magazine ครับ แต่ว่าถ้าของคณะเราก็มียื่น กกต. ไปด้วยครับ
ที่เรายื่นเองมีแค่ที่ WAY magazine ที่เดียวเลย เรายื่นช่วงประมาณมีนา-เมษา ก่อนฝึกงานประมาณเดือนสองเดือนได้ครับ
ติดต่อผ่านอีเมลอย่างเดียวเลยครับ รอประมาณเดือนนึง เขาตอบถึงจะตอบกลับ ถ้าเกิดว่าสนใจจะฝึก WAY magazine แนะนำว่าให้ติดต่ออย่างน้อยเป็นเดือนนึงเลย เพราะว่าเขาค่อนข้างจะใช้เวลาตอบกลับนานพอสมควร เร็วสุดน่าจะประมาณครึ่งเดือน
เท่าที่จำได้ มี 1. เรซูเม่ 2. Portfolio 3. จดหมายแนะนำตัว หลัก ๆ ประมาณสามอย่างนี้ แต่ว่าถ้าจะสมัครทำเป็นฝ่ายบรรณาธิการ ต้องเขียนบทความเรื่องที่เราสนใจไปให้เขาดูหนึ่งหน้ากระดาษด้วยครับ เราส่งบทความเกี่ยวกับเรื่องวิพากษ์วิจารณ์สื่อยุคใหม่ว่าสื่อถูกแทนที่และถูกโยกย้ายมาออนไลน์มากขึ้นแล้วสื่อเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง งานเขียนควรจะเป็นงานเขียนใหม่ ส่วนหัวข้อค่อนข้างอิสระว่าเขียนเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่เราสนใจ ส่วนหนังสือแนะนำตัว จุดประสงค์หลักของมันก็คือให้เราแนะนำตัวเองว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรมาบ้าง ทำไมถึงอยากมาฝึกงานที่นี่ อยากทำอะไรบ้างคร่าว ๆ ประมาณหนึ่งหน้า คล้ายเป็นสรุปความตัวเองย่อ ๆ แต่ว่าทำเป็นในรูปแบบจดหมาย
ผลงานที่เราจะใส่ลงไปควรเกี่ยวข้องกับงานที่เราจะสมัคร สมมุติเราฝึกงานด้านสื่อ เราก็ควรใส่ผลงานที่เกี่ยวกับสื่อไป เช่น งานเขียน งานวิดีโอ งานบรรณาธิการ ก็เอามาลงได้ แล้วก็ให้เอางานที่เราอยากนำเสนอมากที่สุดไว้บน ๆ ส่วนงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องมากก็ไม่แนะนำให้ใส่ตอนนี้ ให้เรซูเม่มันไม่ได้ยาวมากเกินไป
หลัก ๆ เลย คือ “การย่อความ” และ “การจับใจความ” ถ้าเป็นสื่อด้านงานเขียน งานหลักที่ทำจะเป็นงานครีเอทีฟกับงานถอดเทป อย่างครีเอทีฟเวลาเราคิดงานอะไรมา เราก็ต้องสรุปใจความสำคัญ งานถอดเทปเราก็ต้องใช้การสรุปความแบบเร็ว ๆ ด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของ soft skills เราคิดว่าควรมีเรื่อง “การปรับตัว” เพราะว่า สังคมในมหาวิทยาลัยกับสังคมการทำงานมันต่างกันพอสมควร คือเราต้องพยายามสังเกตอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น สังเกตวิธีการทำงาน สังเกตบรรยากาศโดยรอบว่าเป็นยังไง หรือว่าเวลาทำงานว่าถ้าเราผิดจุดแล้วเราจะต้องแก้ไขยังไง ถ้ายิ่งปรับตัวได้เร็ว เราก็จะยิ่งคุ้นเคยกับงานเร็วขึ้น ในส่วนของอุปกรณ์ที่ต้องมี หลัก ๆ คือ โน้ตบุ๊คเครื่องเดียวเลย เพราะว่า ก่อนไปฝึกงานเราทักไปถามเขาว่า “ถ้าไม่มีโน้ตบุ๊คสามารถทำงานได้ไหม” เขาบอกว่าต้องมี
เราทำอยู่ตำแหน่งบรรณาธิการ หน้าที่หลัก ๆ คือ คิดคอนเทนท์ รวบรวมข้อมูล เขียนบทความแล้วส่งให้กองบรรณาธิการหลักตรวจอีกที งานหลัก ๆ จะมีประมาณนี้ นอกนั้นก็จะเป็นงานเสริม อย่างการถอดเทป ถอดบทความ แล้วก็มีงานภาคสนามในส่วนของงานข่าว ซึ่งเวลาเราไปลงภาคสนาม จะมีอยู่สองอย่างที่เราต้องการ อย่างแรกคือ เนื้อความข่าว อย่างที่สองคือ รูปภาพข่าว เราทำในส่วนของเนื้อความข่าวว่า ‘เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?’ ‘สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ?’ ‘ใครทำอะไร ?’ เราก็จะเป็นคนสรุปความมาให้ที่ออฟฟิศอีกทีในกรณีที่ลงภาคสนาม ซึ่งเนื้อหาข่าวภาคสนามส่วนมากจะเป็นในเเนวการเมือง ซึ่งเขาค่อนข้างให้อิสระในการคิดหัวข้อ แล้วเราค่อยเสนอให้เขาดูว่าเราจะเขียนแนวนี้ ประมาณนี้ พอได้รับการอนุมัติแล้วเราถึงได้ค่อยเขียน ถ้าไปภาคสนามเราก็จะมีพี่เลี้ยงไปด้วยอยู่แล้ว เพราะว่าอย่างที่บอกว่ามันมีงานสองส่วน ไปกองนึงประมาณ 3-4 คน แล้วก็ถ้าบอกตามจริงคือเราไม่ได้ตรวจบทความ เพราะตอนนั้นทางบริษัทเขาไม่ได้ขาดคนตรวจ คนตรวจที่เขามีค่อนข้างตรวจเร็ว เขาขาดคนคิดกับคนทำคอนเท้น ก็เลยได้ไปอยู่ในส่วนของคนที่เขียนและคิดคอนเท้นเป็นหลัก
ถ้าในเรื่องการลงพื้นที่ เราต้องเสียค่าใช่จ่ายในเรื่องของการเดินทางและการกินเอง แต่ว่าทางบริษัทเขาก็จะมีช่วยเหลือว่าเราสามารถเบิกค่าเดินทางภายหลังได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการฝึกงานครั้งนี้ ด้วยความที่บริษัทอยู่ในกรุงเทพฯ แน่นอนว่าเราก็ต้องมีค่าที่พัก ค่าเดินทางไปบริษัท ค่ากิน และค่าอื่น ๆ อีก
เข้างานจันทร์-พุธ-ศุกร์ เวลาเข้างานคือเข้ากี่โมงก็ได้แล้วก็เลิกกี่โมงก็ได้ อันนี้คือไม่ใช่แค่เด็กฝึกงานนะ ทุกคนในบริษัทเลย ส่วนใหญ่เขาจะเข้างานกันประมาณเที่ยง กลับประมาณหกโมงเย็น จริง ๆ เราสามารถขอเขาทำงานที่บ้านได้ ถ้าเกิดว่าสถานที่ที่ทำงานกับที่พักเรามันไกลกันมาก ๆ หรือว่า อย่างเช่นวันนี้ฝนตกหนัก ก็แจ้งเขาขอ work from home ได้ เพราะว่าเป้าหมายเขาคืองานต้องเสร็จ ซึ่งจริงๆวันอังคารกับวันพฤหัสก็เป็นวันที่ work from home ในส่วนของขั้นตอนเวลาการทำงานต่อหนึ่งงานจะเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ แต่ก็จะขึ้นอยู่กับเรื่องที่เราทำด้วย เช่น ช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา แล้วเราเสนอว่าเราจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ 14 ตุลา แสดงว่าบทความจะต้องส่งช่วง 12-13 ตุลา
ด้วยความที่ว่ามันเป็นบริษัทเล็ก ตอนที่เราเข้าไปมีพนักงานไม่ถึงสิบคนเอง มันก็เลยไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันมากเท่าไหร่ พูดคุยกันได้ ชวนไปกินข้าวได้ ด้วยความที่บริษัทมันเป็นลักษณะกึ่ง Home Office ก็เลยจะไม่ค่อยรู้สึกกดดัน อยู่กันแบบครอบครัว ชิว ๆ ส่วนใหญ่อายุพี่เขาก็ไม่ได้ห่างกับเรามาก คนที่ทำงานด้วยกันคิดว่าไม่เกินสามสิบ แต่ว่าเขาจะมีอาวุโสอยู่ อาจจะอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ พี่เลี้ยงก็อายุประมาณเท่าเราเหมือนกัน จริง ๆ พี่เลี้ยงเขาค่อนข้างมีส่วนช่วยในการทำงานมากเลยนะ หลัก ๆ เขาก็จะเป็นที่ปรึกษาให้กับเรา สอนงานเราในบางเรื่อง มีงานไปถ่ายคลิปสัมภาษณ์หรือออกภาคสนาม เขาก็จะถามเราว่าสนใจไปสังเกตการณ์ไหม เขาก็จะคอยชวนเราไป ตรงส่วนนี้ก็จะเป็นส่วนสำคัญ ในแง่ที่ว่าถ้าเราเป็นคนขยัน เราก็จะได้ประสบการณ์ข้างนอกที่ไม่ใช่ในออฟฟิศด้วย การแต่งกายก็คือเราใส่อะไรก็ได้ ค่อนข้างชิว ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น
หลัก ๆ มีอยู่สองอย่าง หนึ่ง คือ ‘ประสบการณ์’ ด้วยความที่ว่าเราฝึกงานด้านสื่อมาแล้วส่วนนึง เราจะได้เห็นเรื่องขั้นตอนการทำงานแทบจะทุกอย่างภายในบริษัทตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าถ้าเกิดเราไปทำงานในอนาคต เรามีแต้มต่อแน่นอนว่าเรารู้ขั้นตอนมาแล้ว การปรับตัวของเราก็จะง่ายขึ้น ส่วนที่สองเป็นเรื่อง ‘ผลงาน’ ในตอนที่ฝึกงาน เราก็จะมีผลงานต่างๆที่เราทำในช่วงสองเดือนเก็บสะสมไว้ ซึ่งผลงานทุกชิ้นมันก็อยู่ในเว็บสื่อของเขาเอง ถ้าเราไปทำงานในอนาคตก็จะสามารถดึงผลงานตรงนี้มาโชว์ได้ว่าเราเคยทำมาแล้ว
ด้วยความที่ว่าเราสนใจการทำงานด้านสื่อมาจากการทำกลุ่มวารสารเม็ดเลือดแดง เรื่องวิชาคือเราไม่ได้ลงวิชาที่เกี่ยวกับสื่ออย่างวิชา JC เลย ถ้าจะให้แนะนำว่าลงวิชาอะไร ก็แนะนำว่าให้ลงวิชาที่ตัวเองสนใจและอยากเรียน การฝึกงานมันเหมือนการที่เราไปเรียนรู้อะไรบางอย่าง เรียนรู้งานที่เราอยากทำว่ามันดีหรือไม่ดี มันใช่สิ่งที่ใช่สำหรับเราหรือปล่าว ดังนั้นวิชามันไม่จำเป็นต้อง related กับการฝึกงานขนาดนั้นก็ได้
อาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องการทำงานมากขนาดนั้น ด้วยความที่ว่ามันเป็นสื่อกับการเมือง แต่ด้วยความที่ว่าเราทำสื่อที่เกี่ยวกับการเมือง เราก็ต้องใช้องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับรัฐศาสตร์มาใช้ประกอบในการเขียนบทความ มันก็ช่วย แต่อาจจะไม่ได้ช่วยในทางตรงขนาดนั้น เป็นการช่วยในทางอ้อมในแง่องค์ความรู้มากกว่า อย่างที่บอกว่าการที่เรามาทำวารสารเม็ดเลือดแดง ตรงนี้มันทำให้เรามีแต้มต่อตรงที่ว่าเรามีผลงานไปโชว์ใน Portfolio ว่าเราเคยเขียนบทความประมาณนี้ คิดว่าส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแล้วในการช่วยในเรื่องการเข้าไปฝึกงานหรือว่าการทำงานในที่ทำงานส่วนนึง ในแง่ของการจัดอบรมจากทางคณะ เช่น การใช้ excel วิธีการฝึกงาน วิธีการเขียนเอกสารราชการ แต่เราไม่ได้ใช้ เพราะว่าไม่ได้ทำราชการ แต่ถ้าเกิดว่าทำราชการ การอบรบในส่วนของคณะคิดว่าช่วยได้พอสมควร
การฝึกงานมันก็จะเป็นบรรยากาศของการทำงาน เช่น ความตึงเครียด ความเร่งรีบ อย่างบางทีเราเขียนงานไม่ได้ แต่เราก็ต้องเขียนให้ได้ แต่ว่าเป็นห้องเรียนคือมันก็ชิวๆ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่โดยส่วนตัวเรามองว่ามันไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ด้วยความที่ว่ามันเป็นบริษัทเล็กแบบอยู่กันไม่ถึงสิบคน เวลาคุยก็รู้สึกเหมือนเพื่อนคุยกัน เหมือนเราทำงานในสังคมมหาลัย ถ้าเปรียบเทียบความต่างการทำงานกับการทำเม็ดเลือดแดง เราก็มองว่าขั้นตอนไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าที่ฝึกงานเหมือนย่อขั้นตอนการทำงานมาให้เร็วกว่าและมืออาชีพเยอะมากกว่า แต่รูปแบบคล้ายกัน แต่รูปแบบที่ทำงานคือเขาไม่ได้แบ่งเป็นหัวหน้าชัดขนาดนั้น การที่เราเคยทำเม็ดเลือดแดงมา ก็เห็นขั้นตอนการทำงานแบบคร่าว ๆ เพียงแต่ว่าเวลาเราไปทำงานจริง เราก็ต้องเพิ่มความเร็วให้ได้มากกว่านี้ ต้องทำงานได้ถี่กว่านี้ เพราะที่เราไปทำมาคือเเทบจะลงบทความอาทิตย์ละบทความเลย
ส่วนตัวคิดว่าอยาก เพราะว่า เราก็ไม่ได้อยากไปทำราชการอะไรขนาดนั้น อยากทำเอกชนมากกว่า จากที่เคยลิสต์ตอนก่อนไปฝึกงาน ก็จะมีพวกงานด้านสื่อต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังสนใจอยู่ ยิ่งไปฝึกงานมาแล้ว เราเห็นทั้งข้อดีข้อเสีย ขั้นตอนการทำงาน สังคมการทำงาน มันก็สามารถทำให้เราเอาจุดนี้มาปรับปรุงตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานในด้านสื่อนี้ต่อได้
ก็เตรียมตัวดี ๆ งานเยอะ แต่ว่าสนุก ถ้าให้ฝากถึงทุกคนที่กำลังเลือกที่ฝึกงานอยู่ก็อยากบอกว่าให้เลือกที่ฝึกงานดี ๆ เอาที่เราอยากได้จริง ๆ ถ้าเกิดเจอที่ดี ๆ ก็จะเป็นสองเดือนที่มีคุณค่ามาก แต่ถ้าไม่ดี เราก็จะได้แค่ว่าที่ฝึกงานนั้นมันไม่ดี แล้วก็ไม่อยากไปทำ แล้วก็มันจะมีที่ให้ไปลงชื่อกับทางคณะก่อน เราแนะนำว่าให้เราหาที่ฝึกงานเอง ถ้าเกิดไม่ได้จริง ๆ ค่อยไปลงชื่อกับคณะ
จริง ๆ ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะว่าเราฝึกเอกชน แล้วก็ไปหาที่เองด้วย มันก็เลยอาจจะไม่มีจุดที่ยึดโยงกับทางคณะมาก แต่อยากฝากเรื่องแบบประเมิน อยากให้คณะทำพวกรูปแบบการฝึกงานให้รัดกุมกว่านี้ เพราะบางสิ่งบางอย่างมันดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน อย่างการลงทะเบียนลงชื่อฝึกงาน การส่งแบบประเมินให้กับทางคณะ อยากให้ช่วงอบรมทำให้มันดูชัดเจนและกระจ่างกว่านี้ คือฝึกงานเนี่ยมันจะมีเอกสารที่ต้องส่งให้ทางคณะในระหว่างช่วงฝึกงาน เขาจะมีให้เราทำเหมือนรายงานฝึกงาน บันทึกฝึกงาน แบบประเมินที่ให้พี่เลี้ยงประเมิน เขาจะมีเอกสารให้เราใส่ในแฟ้มน้ำตาล ประเด็นคือตอนที่เราไปส่งให้ที่ฝึกงาน เราไม่รู้ว่าในซองนั้นมีอะไรบ้าง และเอกสารไหนชื่ออะไร เพราะว่าเราไม่เคยเห็นเอกสารนั้นมาก่อนจนกระทั่งวันที่เราไปฝึกงานแล้ว