จีน่า ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจสายราชการ อยากฝึกเอกชนมากกว่า แต่ไม่ติดสายเอกชนจึงเริ่มมองหาการฝึกงานที่มันตรงสายดูบ้างซึ่งคำว่าตรงสายที่เรามองตอนนั้นก็คือการทำที่สถานทูต แล้วจึงเริ่มเจาะใหม่ว่าถ้าเกิดทำงานที่สถานทูต เราอยากทำเป็นสถานทูตไทยในต่างประเทศมากกว่าก็คือจะไม่ได้มองสถานทูตอื่นๆ ในประเทศไทย สาเหตุที่เลือกแบบนั้นเพราะทำให้เรากลับมามองที่ระบบราชการไทยเพื่อให้เรารู้ว่ามันเป็นยังไง และสองก็คือได้ไปเที่ยวที่ต่างประเทศอื่น ๆ ก็น่าจะเป็นตัวช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้เรา
ในสเตปต่อไปก็คือมองว่ามีประเทศไหนที่เราจะไปได้บ้าง ตรงนี้จะมองแค่อาเซียนเลย เพราะรู้สึกว่าใกล้บ้านและก็เรื่องค่าใช้จ่าย และก็ไม่ได้อินกับประเทศอะไรเป็นพิเศษเลยพยายามยื่นไปหลาย ๆ ประเทศ จริง ๆ ติดต่อไปหมดเลย แบบ ลาว มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งที่อื่นก็ไม่ได้เปิดรับหรือเปิดรับแต่ก็เต็มแล้ว สุดท้ายก็ได้รับการตอบรับจากฮานอย เขาก็เลยเรียกสัมภาษณ์
สุดท้ายก็เลยเจาะไปที่สถานทูตไทยที่ฮานอย ประเทศเวียดนามค่ะ
เริ่มแรกเลยคือส่งอีเมลไปถามที่สถานทูต ซึ่งอีเมลนี้ก็คือแปะอยู่ในเว็บไซต์ของสถานทูต ณ กรุงฮานอย
ก็ส่งไปถามเลยว่า
เราชื่อ… เป็นนักศึกษา… ประสงค์ที่จะขอฝึกงานในช่วงเวลาเท่านี้ถึงเท่านี้ สถานทูตมีนโยบายหรือโครงการที่จะรับนักศึกษาฝึกงานมั้ยคะ
อันนี้คืออีเมลแรกที่ส่งไปสอบถาม ซึ่งทำกับทุกสถานทูตที่ได้กล่าวมาในตอนแรกที่เล่าไป
แต่ว่าสถานทูตอื่น ๆ ก็จะตอบกลับมาว่าไม่รับหรือไม่ตอบกลับมาในระยะเวลาที่เรารอไหว ซึ่งฮานอยตอบกลับมาไม่ถึงเดือน น่าจะสองถึงสามอาทิตย์ไม่แน่ใจ เขาก็ตอบกลับมาว่ารับ แล้วขอให้เราส่งเอกสารเพื่อไปให้เขาพิจารณาว่าจะสัมภาษณ์เราไหม ซึ่งเขาจะไม่รับเข้าเลยแต่จะรับแค่พอร์ตก่อนเฉย ๆ
เอกสารสำหรับการพิจารณา
-Portfolio หรือ Resume
-Transcript
พอเขาพิจารณาเอกสารนี้เสร็จ อีเมลถัดมาคืออีเมลขอนัดคิวสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์
ขั้นตอนต่อมาคือการสัมภาษณ์ ซึ่งการสัมภาษณ์ตามประสบการณ์ของนี่ก็คือเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสถานทูตฮานอย ทั้งหมดใน Zoom 5 คนไม่ใช่เอกอัครราชทูต ไม่ใช่อัครราชทูต เป็นแบบเจ้าหน้าที่ทูตฝ่ายการเมือง ฝ่ายกงสุล ฝ่ายเศรษฐกิจ คือเป็นนักการทูตฝ่ายปฏิบัติการ ตามที่เข้าใจวันนั้นนึกว่ามานิดเดียวแต่พอไปที่จริงถึงได้รู้ว่าทั้งหมด จะมีฝ่ายการเมือง ฝ่ายกงสุล ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายสารนิเทศ และที่ปรึกษาเป็นเหมือนเฮดของทุกฝ่ายก่อนที่จะไปถึงรองทูตกับทูต ซึ่งสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยพูดคุยเป็นภาษาไทย
พาร์ทแรกถามเรื่องทั่วไปเราเป็นใคร มาจากไหน ทำไมอยากฝึก และก็คาดหวังอะไร
ส่วนเรื่องต่อมาคือถามว่าเราอยากอยู่แผนกไหน หมายถึงว่าที่เรามาคือสนใจเรื่องอะไรและอยากทำอะไร ซึ่งนี่ก็ตอบไปว่าฝ่ายกงสุลเพราะว่าสนใจเรื่องพวกหนังสือเดินทาง วีซ่า พาสปอร์ต และก็การดูแลคนไทย การติดต่ออะไรประมาณนี้ ซึ่งพอเราตอบแบบนั้นพี่คนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายกงสุลก็จะถามจี้เราประมาณนึงว่า แล้วเรารู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายกงสุลบ้าง ทำไมเราถึงอยากทำหรือเราเคยเข้าไปดูข้อมูลในเว็บของเขาบ้างไหมว่าเขาทำอะไรบ้างหรือคิดว่าเขาทำอะไรบ้าง การสัมภาษณ์ของเรา คือ รู้ก็บอกรู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ตอบไปตามความจริง ในระหว่างสัมภาษณ์ก็มีแค่พูดภาษาอังกฤษบ้างแค่แนะนำตัวเฉย ๆ ใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 15-20 นาที แบบออนไลน์ ทุกคนจะผลัดกันถามแต่ส่วนใหญ่พี่ที่ทำฝ่ายสารนิเทศจะเป็นคนถามในช่วงพาร์ทแรก ส่วนหลังจากที่เราตอบว่าอยากทำไร พี่ที่เป็นฝ่ายนั้น ๆ ก็จะมาถามเรา ส่วนคนอื่นจะแทรกบ้าง นั่งฟังบ้าง
ไม่ได้ถามขนาดนั้น แต่จะถามแบบเคยได้ดูข่าวสารที่สถานทูตลงเกี่ยวกับไทยเวียดนามอะไรแบบนี้มั้ย เหมือนเขาถามเกี่ยวกับความรู้ในองค์กรของเขามากกว่าความรู้ต่อเรื่องอื่น ๆ
นี่มารู้ทีหลังว่าเขาดูทั้งสองอย่าง คิดว่าในพาร์ทแรกกิจกรรมสำคัญกว่า นี่ชูว่าทำกิจกรรมทุกอย่างซึ่งมันโชว์ว่าฉันทำงานกับผู้อื่นได้ดี มีประสบการณ์ มีสกิลในการตัดสินใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเราสามารถทำได้ คิดว่าเขาน่าจะสนใจ และก็ที่บอกว่าเกรดมีผลอะ เขาดูเหมือนกันนะว่าเด็กที่เข้ามามีความสามารถในด้านไหน และก็ที่เห็นจุดร่วมเดียวกันกับคนที่ได้เข้าไปฝึกก็คือมีภาษาที่สาม สำหรับฝ่ายกงสุลนะ
มีไปด้วยกันสี่คน มีเพื่อนมาจากรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เพื่อนมาจากรัฐศาสตร์จุฬา ส่วนฝ่ายกงสุลมีสองคน คือเรากับเพื่อนศิลปศาสตร์เอกประวัติศาสตร์ มธ.
ควรเลือกก่อนปีใหม่ ช่วงเดือนธันวาคมคือควรจะรู้ได้แล้วว่าเราอยากไปไหน มีแพชชั่นทำอะไร คือช่วงนั้นจะมีเริ่มให้ยื่นสมัครแล้ว ไม่ว่าเอกชนหรืออะไรจะเริ่มให้ยื่นสมัครตอนปลายปี ช่วงมกรา-กุมภาจะเป็นช่วง
เริ่มเรียกสัมภาษณ์ ทุกอย่างจะรุงรังในช่วงนั้นรวมถึงคณะก็จะเริ่มเรียกในช่วงนั้นด้วย
ช่วงมกรา-กุมภาเราต้องมีพวก Portfolio, Resume, Transcript เตรียมยื่นไว้แล้ว รวมถึงหาข้อมูลหาช่องทางการติดต่อด้วยเพราะว่าแต่ละที่ไม่ได้ตอบอีเมลเร็ว ต้องใช้เวลาในการตอบของเขา
เทรนนิ่งมีให้สองรอบ รอบแรกเทรน Excel รอบสองเทรนหนังสือราชการ ฟีลติวเตอร์จ้างมาสอน สอนว่าอะไรทำตรงไหนบ้าง
เรียนอย่างละครั้ง คณะก็จะแบ่งว่าใครเรียนรอบไหน รอบนึง 50 คน เสาร์นี้รอบนึง เสาร์หน้ารอบนึง แล้วแต่จะเลือก เป็นตัวบังคับส่วนนึงของ PO400 ทุกกิจกรรมต้องเข้าเพื่อผ่านออกไปฝึกงานได้ ถ้าเราไม่เข้าเขาจะไม่ให้เราออกไปฝึกงานจริง ถือว่าเราไม่ผ่าน
ค่าใช้จ่ายแรกคือค่าวีซ่า เราไม่ต้องทำวีซ่าเอง ทางสถานทูตจะมีเอกสารยื่นมาว่าคนที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้จะมาฝึกงานที่สถานทูตไทยช่วงเวลานี้ถึงนี้ สถานทูตขอ approved คนพวกนี้ว่าจะได้รับวีซ่าเข้าไป เป็นเหมือนใบรับรองวีซ่า พอเราได้ใบนี้เราต้องเอาไปให้สถานทูตเวียดนามในไทยเพื่อบอกว่าเราจะขอยื่นวีซ่า โดยที่มีใบรับรองการยื่นวีซ่าประเภทนี้จากสถานทูต ซึ่งค่าใช้จ่ายแรกก็คือนี่แหละค่าทำวีซ่า ประมาณ 1000-3000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่สองก็ค่าเดินทางค่าตั๋วเครื่องบินก็แล้วแต่ประมาณเที่ยวละสามถึงสี่พันไม่เกินนั้น
ต่อไปก็ค่าที่พัก ราคาจะเหมือนพักในกรุงเทพอโศก-สาธรไรงี้ อยู่กับเพื่อนประมาณเดือนละเกือบสองหมื่นหารกันสามคน ความโชคดีคือเพื่อนศิลปศาสตร์มีแฟนเป็นคนเวียดนาม😆 เลยทำให้การติดต่อที่พักคนที่ไปหาให้คือบ้านแฟนเขา เลยได้มาในราคาคนเวียดนาม ที่พักอยู่ไม่ไกลมากใช้เวลาเดินไปสถานทูตสองนาทีไม่เกิน 200 เมตร เหมือนเดินจากคณะมารูปปั้นป๋วย
ส่วนค่าอาหารการกินใช้เรทเหมือนอยู่กรุงเทพ ฯ อาหารตกประมาณเจ็ดสิบถึงหนึ่งร้อย มื้อพิเศษก็จะแพงไปอีก ส่วนตัวเราจะกินแพงหน่อยเพราะสั่งเดลิเวอรี่
หน้าที่ก็อยู่ในแผนกกงสุล หน้าที่หลัก ๆ แบ่งเป็นสองอย่างคือ ทำวีซ่าประทับตราให้คนต่างชาติที่เข้าไทย และสองคือดูแลคนไทยในเวียดนามประมาณนั้น แต่ที่นี่อาจจะดูแลไม่เยอะเพราะมีกงสุลใหญ่ที่โฮจิมินเขาก็จะแบ่งหน้าที่เวียดนามเหนือให้ฮานอยดูแล
เวียดนามใต้ทางโฮจิมินจะเป็นคนดูแล ทำให้โหลดในการดูแลคนไทยจะไม่เยอะขนาดนั้นส่วนใหญ่ที่ทำจะเป็นเรื่องวีซ่า และก็ระบบงานเป็น routine ค่อนข้างต่างจากฝ่ายอื่นอย่างฝ่ายเศรษฐกิจ งานของเขาจะเป็นโปรเจค ถ้าพี่มีโปรเจคต้องมาช่วยทำ
แต่กงสุลเป็น routine ถึงเวลาก็มาประจำที่ ทำงานวีซ่าไปตาม process ของเรา สักพักช่วงบ่ายเคาน์เตอร์ปิดบ่ายสามเราก็จะเริ่มเคลียร์เอกสารว่าวันนี้มีวีซ่ากี่เล่ม มีเงินเท่าไร ซึ่งตรงนี้ต้องทำรายงานส่งทุกวัน ต้องส่งข้อมูลเข้าระบบทุกวัน
ส่วนพาร์ทดูแลคนไทยก็ต้องทำทุกอย่างทำบัตรประชาชนแจ้งเกิด/แจ้งตาย แต่ไม่มีแจ้งตายในช่วงที่เราไปอยู่ พาสปอร์ตบัตรประชาชนแจ้งเกิดจะมีมาตลอดเราก็ต้องดูแล อันนี้คือแบบ routine นะ ส่วนถ้างานที่ไม่ใช่ routine ก็จะเป็นช่วยทำงานเอกสารช่วยเขียนเมลตอบเมล พี่สตาฟก็จะเอาเอกสารโทรเลขหนังสือต่าง ๆ มาให้ฝึกเขียนช่วยทำ ตอนนั้นที่ไปโชคดีก็มีงานที่กงสุลเป็นเจ้าภาพจัดงานสองงาน
งานแรกคืออะเมซิ่งไทยแลนด์สถานทูตทำบูธสอยดาว อีกงานก็เป็นงานบริจาคเลือดเราก็ไปช่วยจัดโต๊ะจัดสถานที่ ประมาณนี้อันนี้ก็เป็นสโคปงานที่เราได้ทำทั้งหมด
จริงๆ อะไม่มีนอกจากทำบูธ แต่ก่อนกลับมีไปลงพื้นที่ที่เขาเตรียมจัดงานอาเซียนเขาให้ไปเพราะมีเพื่อนที่จะฝึกงานต่อพอดีพี่ที่ทำงานชวนเราไปด้วย
ไม่มีเวียนไปฝ่ายอื่นเลย สองเดือนอยู่ฝ่ายไหนฝ่ายนั้นตลอด
ถ้าพี่เลี้ยงจริงๆ มีหนึ่งคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายกงสุล อีกคนคือที่ปรึกษาทูตที่ดูทุกฝ่ายเขาเป็นคนที่ดูเด็กฝึกงานทุกคน
การแต่งกายชุดสุภาพ
ตอนแรกเข้าใจว่า local staff พูดไทยได้ แต่ความจริงเป็นคนเวียดนามทำงานให้สถานทูตไทย มีแค่คนในออฟฟิศที่พูดไทยได้เหมือนฝ่ายกงสุลเขาไม่ require ภาษาไทย จะพูดอังกฤษมากกว่า เพราะเจอคนที่มาติดต่อวีซ่า เลยเป็น culture shock ว่าตลอดการทำงานฉันพูดแต่ภาษาอังกฤษไม่ได้พูดภาษาไทยเลย พูดไทยแค่กับพี่หัวหน้าและเพื่อนที่มาฝึก มีตติ้งพูดคุยในฝ่ายก็อังกฤษล้วน
ถ้าทำงานพลาดหัวหน้าก็เรียกไปคุยเลยว่าเราทำผิดตรงนี้ เพราะอะไร ก็บอกเราไม่ควรทำแบบนี้ เขาก็บอกตรง ๆ เลยก็คือเรียนรู้เลยว่าอะไรควร ไม่ควรทำและก็สอนต่อไปเลยว่าแล้วสิ่งที่ควรทำคืออะไร บางทีก็มาเป็นคำถามว่าถ้าเกิดอะไรแบบนี้น้องต้องทำยังไงแล้วคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องหรือเปล่า ก็เป็นการถามแล้วค่อย ๆ สอน
บางทีภาษาอังกฤษเป็นอุปสรรคในหลาย ๆ ครั้งเลย เพราะส่วนตัวแล้วไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษ หรือบางทีผู้รับบริการก็ไม่ได้ถนัดภาษาอังกฤษเหมือนกัน
ใช้คำว่าสำคัญมากสำหรับโพสิชั่นที่อยู่ด้วยนะ เพราะเป็นงานที่ต้องติดต่อกับคนตลอดเวลา
soft skill สำคัญมากจริง ๆ การพูดหรือการใช้คำเนี่ยอย่างที่บอกว่าพอเราอาจจะไม่เก่งภาษาอังกฤษเนี่ย บางทีคำที่เราใช้มันอาจทำให้ความหมาย/อารมณ์เปลี่ยนได้ เรื่องพวกนี้สำคัญมากพอไปยืนตรงนั้นหรือแบบท่าทางของเรามันจะมีคนเห็นตลอดเวลาตรงนี้มันก็สำคัญเหมือนกัน
และก็สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการประนีประนอม การที่เราคุยติดต่อกับคนอื่นมันก็เหมือนกับเวลาเราทำงานกลุ่มกับเพื่อนในมอหรือติดต่อกับคนอื่นมันก็ควรมีสกิลการพูดที่แบบพูดให้เป็นว่าควรพูดยังไงกับคนนี้
ต้องเขียนรายงานเป็นอาทิตย์ 3-4 สัปดาห์ส่งหนึ่งครั้ง อีก 4 สัปดาห์ส่งหนึ่งครั้ง และครั้งสุดท้ายส่งเป็นเล่มว่าเจออะไรทำอะไรบ้าง
มี ส่งมาทางไปรษณีย์
ไม่ มันมีแค่ผ่านกับไม่ผ่านอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้ไม่ผ่านก็ไม่ต้องกังวลอยู่แล้ว ถ้าเราฝึกจนจบก็ผ่านแล้ว ใบนั้นแค่รายงานว่าเราทำอะไร พี่ที่ทำงานมีความคิดกับเรายังไง มีแค่คณะที่รู้ว่าใบนี้เขียนอะไร
ไปบ้าง
สิ่งที่อยากให้ฝึก คือ ที่คณะสอนอบรมเขียนหนังสือ เอ็กเซล เพราะที่ทำงานมาถึงก็ให้ทำเลย ส่วนวิชาเรียนก็ไม่ได้ใช้งานอะไรเท่าไหร่รู้แค่ว่าความสัมพันธ์อะไรเลย เราอยู่ฝ่ายกงสุลคือไม่ได้ใช้เลย อีกอันที่สำคัญคือ
เรามีให้ทำ PR ทำอาร์ตเวิร์ค มี Canva โปรติดไว้จะดีมาก สกิลอินโฟก็ควรจะมี ภาษาเวียดนามรู้ไว้ถือว่าดี เพราะร้านข้างทางส่วนใหญ่ไม่พูดอังกฤษ ไม่จำเป็นในการทำงานแต่จำเป็นในการใช้ชีวิต